บล.บัวหลวง:
Chemical อุปสงค์เติบโต ท่ามกลางอุปทานที่มีจำนวนมาก
แม้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวของอุปสงค์ แต่ช่วงโลว์ซีซั่นและอุปทานใหม่ๆ จะยังคงกดดันส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3/66 อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นเราจึงให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด โดยเราชอบ IVL มากที่สุด
ช่วงโลว์ซีซั่นจะคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงกลางไตรมาส 3/66
การเปิดประเทศจีนจะค่อยๆ หนุนการเติบโตของอุปสงค์สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/66 แต่อุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ส่วนใหญ่มักจะชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาลจนถึงเดือน ส.ค. และโดยปกติแล้ว ไตรมาสที่สามจะเป็นช่วงที่อุปสงค์ผลิตภัณฑ์สายโพลีเอสเตอร์ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล จากปัจจัยดังกล่าว ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น YoY ในไตรมาส 3/66 แต่ทรงตัว QoQ ยกเว้นส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สายโพลีเอสเตอร์ (โดยเฉพาะ PET) ซึ่งจะลดลง QoQ เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล
อุปทานใหม่จํานวนมากจะกดดันส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ในปี 2566
แม้อุปสงค์จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่จํานวนมากจะกดดันส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ต่อเนื่องในปี 2566 ดังนั้น เราคาดการณ์เชิงอนุรักษ์นิยมว่าส่วนต่างราคา HDPE เทียบกับแนฟทาในปี 2566 จะยังคงทรงตัว YoY ที่ระดับต่ำที่ 430 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในขณะที่ส่วนต่างราคา PP เทียบกับแนฟทาคาดว่าจะทรงตัว YoY ที่ 430 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในปี 2566
กําลังการผลิตใหม่จะกดดันส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์ในปี 2566
ตลาดอะโรเมติกส์ (PX และเบนซิน) จะได้รับผลกระทบจากอุปทานใหม่ๆ เราคาดว่าส่วนต่างราคา PX เทียบกับแนฟทาจะทรงตัว YoY ที่ระดับต่ำที่ 320 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในขณะที่ส่วนต่างราคาเบนซีนเทียบกับแนฟทาคาดว่าจะ เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย YoY อยู่ที่ประมาณ 235 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ความตึงตัวของตลาดที่คลี่คลายลงจะกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สายโพลีเอสเตอร์
สําหรับตลาดผลิตภัณฑ์สายโพลีเอสเตอร์ ส่วนต่างราคา PET และ PTA คาดว่าจะอ่อนตัวลง YoY ในปี 2566 เนื่องจากภาวะอุปสงค์-อุปทานที่ตึงตัวลดลง (ในปี 2565 เกิดภาวะอุปทานตึงตัว เนื่องจากการหยุดชะงักของระบบโลจิสติกส์) และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ความกังวลต่อการปรับขึ้นของต้นทุนก๊าซสะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว
ตลาดมีความกังวลต่อนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำหนดราคาก๊าซ (โดยหลักคืออีเธน) ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยมีแนวคิดที่จะกำาหนดราคาอีเธนเทียบเคียงกับราคาก๊าซของไทย (pool gas price) เราได้ทําการวิเคราะห์สถานการณ์ผลกระทบของราคาก๊าซอีเธนที่แตกต่างกันต่อประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของ PTTGC จากการวิเคราะห์ของเราบ่งชี้ให้เห็นว่าราคาหุ้นปัจจุบันของ PTTGC ได้สะท้อนต้นทุนอีเธนที่เพิ่มขึ้น 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ไปแล้ว เมื่อพิจารณาจากราคา LNG ที่ลดลง (LNG เป็นองค์ประกอบหลักส่วนหนึ่งของอุปทานก๊าซของไทย) เรามองว่าความเสี่ยงที่ราคาก๊าซอีเธนจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากระดับปัจจุบันนั้นค่อนข้างน้อย ดังนั้นความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้น PTTGC จากระดับปัจจุบันจึงน่าจะมีจํากัด