บล.บัวหลวง:

Thai Market Strategy – ฝ่าสมรภูมิการเมือง… พายุแห่งการเปลี่ยนแปลง!

ความไม่แน่นอนหลังการเลือกตั้งในประเทศ กลายเป็นปัจจัยหลักแทนความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ที่เริ่มคลี่คลายลง ความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล และความกังวลเกี่ยวกับจุดยืนที่อาจกระทบธุรกิจขนาดใหญ่และนโยบายต่างๆ ที่อาจะกระทบต่อภาพกำไรตลาดหุ้น ทําให้ตลาดเทขายหุ้นลงมา หลังจากการประเมินผลกระทบของนโยบายหลักๆ แล้ว เราเห็นโอกาสลงทุนในหุ้นที่ถูกเทขายลงมามากเกินไป และมีแนวโน้มที่จะรายงานกำไรที่แข็งแกร่ง

พายุเศรษฐกิจโลกเริ่มลดความรุนแรง …

เราเชื่อว่า เรากำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ร้อนแรงจนเกินไป จนมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูง แต่ก็ไม่ชะลอตัวเบาเกินไป จนมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง ซึ่งคาดการเปลี่ยนผ่านนี้จะหนุนการลงทุนใน สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดภาวะเงินเฟ้อชะลอตัว เพื่อเข้าสู่จุดสมดุลยังคงต่อไป โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะเข้าใกล้ 3% ในไตรมาส 4/66 (ต่ำกว่า 1% สําหรับประเทศไทย) และต่ำกว่าอัตรา ดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ในครึ่งหลังของปี 2566 ทำให้ลดแรงกดดันที่เฟดสามารถหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้  แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะชะลอตัว โดยเฉพาะในภาคการผลิต แต่เศรษฐกิจส่วนอื่นๆ ยังคงเติบโต อุปสงค์สําหรับภาคบริการยังคงขยายตัว (ภาคบริการคิดเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของ เศรษฐกิจสหรัฐฯ) ในขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ที่ยังตึงตัว ชี้ให้เห็นว่ามีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเร็วๆนี้ ความคาดหวังต่อเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้น คาดจะหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในครึ่งหลังของปี 2566

แทนที่ด้วยพายุการเมืองในประเทศ… แต่คาดจะผ่านในไม่ช้า

แม้ว่าจะมีอุปสรรคในระยะสั้นหลังการเลือกตั้ง แต่เราเชื่อว่า SET จะกลับมาฟื้นตัวได้ จากแนวโน้มการเติบโตที่ดี  หากการจัดตั้งรัฐบาลผ่านไปได้ด้วยดี โดยเราชอบกลุ่ม Domestic play ซึ่งมีโอกาสที่จะรายงานกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มธนาคาร (NIM ที่ขยายตัวขึ้น) และกลุ่มโภคภัณฑ์ (อุปสงค์ฟื้นตัว) กลุ่มขนส่ง (การเดินทางที่ฟื้นตัว) และกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว (ข้อจํากัดการเดินทางที่คลี่คลาย) และหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ แข็งแกร่งในไตรมาส 2/66 เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (ยอดโอนที่ดินที่แข็งแกร่ง) อาจเป็นธีมหลักในช่วงนี้ เพิ่มการลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพสูง ด้วยอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่คาดผ่านจุดสูงสุด และการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่ถดถอยรุนแรง คาดจะหนุนการลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีภาพกําไรแข็งแกร่ง (Quality growth play) ซึ่งเราชอบหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งอิงกับนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากฝั่งไหนก็ตาม) และสามารถเติบโตไปกับเมกะเทรนด์โลก เช่น การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และการลดการปล่อยคาร์บอน อีกทั้ง อัตราดอกเบี้ยที่น่าจะถึงพีคแล้ว จะเปิดโอกาสในการเก็งกำไรให้กับกลุ่มการเงิน หากหนี้เสียยังจัดการได้

ความเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาด 2) นโยบายของรัฐบาลไทยที่ไม่มีประสิทธิภาพ 3) อัตราเงินเฟ้อที่ยืนสูงนานกว่าคาด 4) ปัญหาทางด้านการเมืองระหว่างภูมิภาค และ 5) บอนด์ยีลด์ที่พุ่งขึ้นสูง

- Advertisement -