ASL ANALYSIS GUIDE
ประเมิน SET SET มีโอกาสปรับตัวลงต่อทดสอบแนวรับจุดต่ำวันก่อนที่ 1,506 เป็นแนวรับหลักระหว่างวัน ต่ำกว่ามีโอกาสปรับตัวลงต่อทดสอบแนวรับถัดไป 1,500/1,490 ยืนเหนือได้มีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นทางเทคนิคแนวต้าน 1,517/1,530
- วันนี้เคาะ SHR แนวโน้ม 2Q66 ผลการดำเนินงานคาดจะเติบโต YoY จากการกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้ SET ปิดที่ 1,509.31 จุด ลดลง 12.81 จุด (-0.84%) มูลค่าซื้อขาย 45,825.48 ล้านบาท ปรับตัวลงรับ Sentimnent เชิงลบจากปัจจัยภายนอก หลังประธานเฟดมีถ้อยแถลงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง และยังใช้เวลากว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะลดลงมาตามเป้าหมายกดดันตลาดหุ้น ประกอบกับแรงขาย Big cap. กดดันตลาดหุ้นไทย
Research Highlight: คาด SET ย่อตัวตามตลาดต่างประเทศ /แนวรับเน้นยืนเหนือ 1500/1490
กกพ. คาดค่าไฟฟ้า 4Q66 ลดลง 20 สตางค์
- กกพ. ประมาณการณ์ค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) ในงวดเดือนกันยายนถึงธันวาคมจะลดลง 20 สตางค์ น้อยกว่านโยบายลดค่าไฟฟ้าของพรรคก้าวไกลที่ 70 สตางค์
- โดยปัจจัยที่ทำให้ค่า FT ปรับลดลงเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ระดับต่ำ ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และเป็นแรงหนุนให้ค่า FT มีแนวโน้มปรับลดลงได้ในขณะที่มีปัจจัยที่กดดันเช่นกัน คืออัตราแลกเปลี่ยนที่อยู่ในระดับสูงที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ และปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม คือการยืนภาระหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่ปัจจุบันอยู่ที่แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องคืนหนี้ให้งวดละ 20,000 ล้านบาทเป็นปัจจัยกดดันทำให้ค่าไฟฟ้าไม่สามารถลดได้ตามเป้าที่วางไว้
- ทั้งนี้ต้องติดตามตัวแปรสำคัญสำหรับค่า FT ในงวดนี้ คือปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของกลุ่ม ปตท. ที่คาดว่าเดือน ก.ค. จะสามารถผลิตได้ที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปัจจุบันที่ระดับ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
- การลดค่า FT เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มที่มีค่าไฟเป็นต้นทุนหลัก ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า Top pick เลือก BJC, กลุ่มโรงแรม Top pick เลือก AWC, SHR
สอท. รายงานยอดผลิตรถยนตร์เดือน พ.ค.
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รายงานยอดการผลิตรถยนตร์ในเดือน พ.ค. ทั้งสิ้น 150,532 คัน เพิ่มขึ้น 16.48 YoY จากการส่งออกที่เพิ่มจากปีก่อนที่มีฐานที่ต่ำ เนื่องจากความขาดแคลนชิพ และการระบาดของ Covid-19 ในประเทศจีน และยอดผลิตรถยนตร์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมารวมจำนวนทั้งหมด 775,955 คัน เพิ่มขึ้น 6.72% YoY
- ส่วนด้านรถยนตร์ไฟฟ้าเดือนพ.ค. จดทะเบียนใหม่จำนวน 7,132 คัน เพิ่มขึ้น 355.14% YoY ส่วนทั้งปีอยู่ที่ 33,365 คันเพิ่มขึ้น 485.15% YoY แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าในประเทศไทย
- มองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มชิ้นส่วนรถยนตร์และผู้ผลิตชิ้นส่วน EV เราชอบ AH SAT EA
สัปดาห์หน้าติดตาม
- 27 มิ.ย. รายงานจํานวนใบอนุญาตก่อสร้าง // ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (เดือนต่อเดือน) ( พ.ค.) // รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากซีบี (มิ.ย.) // ยอดขายบ้านใหม่ ( พ.ค.)
- 28 มิ.ย. : ค่ากล่าวของนายพาวเวลล์ (Powell) ประธาน FED
- 29 มิ.ย : GDP 1Q66 US // จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก // ยอดขายบ้านที่รอการปิดการขาย (เดือนต่อเดือน) (พ.ค.) // ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคญี่ปุ่น
- 30 มิ.ย. ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (มิ.ย.) // ดัชนี PCE Price Index (เดือนต่อเดือน) ( พ.ค.) US
Investment Strategy
- แนวโน้ม SET มีโอกาสปรับตัวลงต่อทดสอบแนวรับจุดต่ำวันก่อนที่ 1506 เป็นแนวรับหลักระหว่างวัน ต่ำกว่ามีโอกาสปรับตัวลงต่อทดสอบแนวรับถัดไป 1500/1490 ยืนเหนือได้มีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นทางเทคนิคแนวต้าน 1517/1530
- ในเชิงกลยุทธ์เรามองว่าวันนี้มีโอกาสจะเห็นแรงขายหุ้นออกมาจากความกังวลประธานเฟด ได้แถลงว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงปัจจัยในประเทศมีความกังวลเรื่องสูญญากาศทางการเมือง เนื่องจากมีการเลื่อนการประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาลและการแข่งขัน เลือกประธานสภาฯยังไม่เห็นข้อยุติ Top pick ที่เรามองว่ามีโอกาสจะถูกทำ Window dressing ได้แก่ SCC SCGP CBG AWC และ BANPU
Global Markets
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2 โดยย้ำว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ หลังปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินคาด
(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดร่วงลงกว่า 4% หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศขึ้น อัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาด และนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดร่วงลงกว่า 1% หลังจากธนาคารกลางหลายแห่งพากันปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ, สวิตเซอร์แลนด์ และตุรกี นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังส่งสัญญาณ ในระหว่างการแถลงต่อสภาคองเกรสวันที่ 2 ว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
หุ้นเคาะไป คุยไป…SHR
- ผลการดำเนินงานใน 1Q66 มีรายได้อยู่ที่ 2544.3 ล้านบาท เติบโต 50.6% YoY จากโรงแรมในประเทศไทยที่มีรายได้สูงขึ้นกว่า 3 เท่าจากปีก่อน และรายได้โรงแรมกลุ่ม Outrigger ที่เติบโตขึ้น 65.4% YoY จากจํานวน นักท่องเที่ยวที่กลับมาอยู่ในระดับสูง ส่วนรายได้ในอังกฤษก็เติบโตได้ดีอยู่ที่ 17.5% YoY ด้านมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 124.9 ล้านบาทซึ่งเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิ
- แนวโน้ม 2Q66 ผลการดำเนินงานคาดจะเติบโต YoY จากการกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาโรงแรมในประเทศไทยมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับ 84% ในขณะที่อังกฤษอยู่ที่ 72% ส่วนมัลดีฟและฟิจิอยู่ที่ระดับ 67% ส่วนในช่วงเดือนมิถุนายนนี้คาดว่าโรงแรมในอังกฤษและฟิจิจะมีนักท่องเที่ยวเข้าพักสูงขึ้นเนื่องจากเป็นช่วง High season ส่วนโรงแรมในฟิจิที่มีการปิดปรับปรุงคาดว่าจะสามารถกลับมา เปิดให้บริการได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป ในปีนี้ทางบริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท วางเป้าอัตราการเข้าพักรวมไม่ต่ำกว่า 70% ซึ่งเป็นระดับที่ทําได้ก่อน Covid-19
- ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวได้รายงานข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยฟื้นตัวสูง โดยคาดว่าในช่วง 1H66 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทยมากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งเป็นจํานวนมากที่สุดในรอบ 3 ปี ในปีนี้ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ที่ 25-30 ล้านคน ซึ่งเป็นการฟื้นตัวเข้าใกล้จำนวนนักท่องเที่ยวของไทยก่อน Covid-19 ในปี 2562 เป็นปัจจัยหนุนให้ SHR ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้