KS Daily View 23.06.2023 >>> มองตลาดทดสอบแนวรับฟื้นได้หากไม่มีปัจจัยลบใหม่ SET คาดแกว่งตัวลงในกรอบ 1,490-1,500/1,520 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ AAV, MEGA

สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้

ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.01%, S&P 500 +0.37%, NASDAQ -0.95% โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Consumer discretionary (+1.53%), Communication service  (+1.15%), Information technology (+0.92%) ส่วน Real Estate (-1.44%), Energy (-1.30%), Utilities (-0.76%)

ในประเทศ: SET Index –12.81 pts. หรือ –0.84% เป็น 1,509.31 จุด ตัวขับเคลื่อนหลักสำคัญคือ DELTA (+1.82%), BH (+2.65%), SCC (+0.62%), VIBHA (+2.48%) ตัวฉุดคือ TRUE (-8.40%), GULF (-3.33%), DIF (-10.00%), ADVANC (-1.85%)

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ: คาดตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวลงทดสอบแนวรับต่ำสุดเดิมบริเวณ 1490/1500 โดยเรามองหากยังไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเข้ามาระหว่างวันเชื่อว่ามีโอกาสที่จะมีแรงช้อนซื้อกลับพยุงให้ดัชนีตลาดกลับมายืนเหนือ 1,500 ต่อได้ มองกรอบแนวซื้อขายที่ 1,490-1,500/1,520 จุด

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) หยุดไม่อยู่จริงๆสำหรับแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเหล่าธนาคารกลางทั่วโลก ไม่เพียงท่านประธาน Fed Jerome Powell ที่ไม่ว่าจะไปปรากฏตัวที่ไหนหรือมีต้องแถลงการณ์ใดมักจะส่งสัญญาณค่อนข้างชัดว่ายังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยแน่และจะขึ้นอีก 2 ครั้ง แรกๆต้องบอกว่าตลาดลังเลเหมือนจะไม่เชื่อว่าจะขึ้นได้มากขนาดนั้นจริง แต่พูดบ่อยพูดทุกที่ขนาดนี้เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าทำแน่ อีกทั้งช่วงข้ามคืนที่ผ่านมาทางธนาคารกลางอังกฤษ BOE ได้สร้าง surprise ตลาดด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 50bps จาก 4.50% เป็น 5.00% มากกว่าตลาดประเมินไว้ว่าจะขึ้นแค่ 25bps ทำให้แวดล้อมการลงทุนในตลาดเป็นลบและตลาดกลับมาประเมินกลยุทธ์การลงทุนกันใหม่เมื่อเห็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2.) สอท.รายงานตัวเลขยอดผลิตรถยนต์เร่งตัวขึ้นทั้ง MoM และ YoY ในเดือนพ.ค. โดยปรับตัวขึ้นแรง 28% MoM จากการฟื้นตัวขึ้นหลังโรงงานหยุดยาวช่วงสงกรานต์ในเดือนเม.ย. และเติบโตขึ้น 16.5% YoY เพราะเทียบกับฐานของการผลิตที่อยู่ในระดับต่ำของช่วงเดือนเดียวกันกับปีที่แล้วที่เผชิญสถานการณ์ชิปขาดตลาดเนื่องจากจีนยังคงใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุม Covid-19 ในช่วงปีที่แล้ว กอปรกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนปะทุขึ้น ด้านยอดขายก็เติบโตได้ทั้ง 8.6% MoM และ 6.9% YoY หลักๆมาจากยอดขายเพื่อการส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นดี ขณะที่ยอดขายในประเทศยังหดตัวเมื่อเทียบยอดรวม 5 เดือน ข้อมูลที่น่าสนใจคือยอดจดทะเบียนรถ EV ที่มีรายงานว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สอท. รายงานว่ามีโอกาสที่ยอดจดทะเบียนรถ EV จะแตะระดับ 50,000-70,000 คันในปีนี้เทียบกับราว 9,000 คันปีที่แล้ว

3.) สศก.รายงานตัวเลขผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรสำหรับเดือนพ.ค. ข้อมูลชี้ตัวเลขผลผลิตการเกษตรปรับตัวลดลงทั้ง 9% MoM และ 7% YoY โดยสาเหตุหลักๆมาจากผลผลิตทั้งข้าว ผักและผลไม้ปรับตัวลดลงเนื่องจากผลของฤดูกาลการผลิต ขณะที่ระดับราคาสินค้าเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย +2% MoM และ -3% YoY ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรปรับตัวลดลง 7% MoM และ 9% YoY ในเดือนพ.ค.

4.) วานนี้สหรัฐฯ ประกาศ sanction 2 ธนาคารในเมียนมา ได้แก่ Myanmar Foreign Trade Bank (MFTB) และ Myanma Investment and Commercial Bank (MICB) โดยประเมินว่าบริษัทไทยที่ทำธุรกิจในพม่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากทางสหรัฐฯ​ sanction เฉพาะธนาคารรัฐที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่าเท่านั้น ขณะที่บริษัทเอกชนใช้ธนาคารพาณิชย์เอกชนในการทำธุรกรรม หรือใช้สกุลเงินที่ไม่ใช่ USD ในการทำธุรกรรม ได้แก่ MEGA ทำธุรกรรมกับธนาคารเอกชน และช่วงหลังหันมาใช้ CNY กับ THB มากขึ้น b) CBG รับมาเป็นสกุล USD และ THB และ c) OSP ใช้แบงค์ไทยในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ดังนี้มองว่าราคาหุ้น MEGA ที่ปรับตัวลงวานนี้ 7.8% มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ปรับกรอบรายสัปดาห์ของหุ้นไทยเป็น 1,490/1,500-1,520 จุด จากการปรับตัวลงของ DELTA กดดัชนี  ปัจจัยบวกหลักจะมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวทำให้ใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักอย่าง Fed อีกทั้งมีหลายประเทศที่กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงิน USD จะเป็นปัจจัยหนุน Fund flow กลับเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ด้วย

หุ้นแนะนำวันนี้

Top pick: AAV (ราคาพื้นฐาน 3.1 บาท) เราคาดกำไรไตรมาส 2/2566 จะยังคงแข็งแกร่งโดยกำไรจะปรับ จากราคาน้ำมันอากาศยานที่ลดลงในไตรมาส 2/2566 เนื่องจากปัจจุบัน AAV ไม่มีสถานะป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ราคาน้ำมันอากาศยานไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ราว 95 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาน้ำมันอากาศยานเฉลี่ยไตรมาส 1/2526 ที่ 106 ดอลลาร์ฯ/หลักบาร์เรล อีกทั้งการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของจำนวนผู้โดยสารและค่าโดยสารเฉลี่ยที่สูงขึ้น

Top pick: MEGA (ราคาพื้นฐาน 49.2 บาท) แม้กำไรปกติลดลง -4.3% YoY ในปี 2566 จากฐานที่สูงสำหรับการเปรียบเทียบในปีที่แล้ว แต่เรามองว่า MEGA เป็นหุ้นที่มีการประเมินมูลค่าต่ำเกินไปบน P/E ปี 2566 ที่ 14x (-2.3 SD จากค่าเฉลี่ยในอดีต) ขณะที่เราคาดว่ากำไรปี 2567 คาดว่าจะทำจุดสูงสุดใหม่จากแรงหนุนของการขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ความต้องการด้านสุขภาพและยาที่สม่ำเสมอ คุณภาพและแบรนด์สินค้าที่ติดตลาด รวมถึงจะมีอีก 175 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีแผนจะพัฒนาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เรามองว่าการ sanction ของสหรัฐฯ กับธนาคารรัฐของพม่าจะไม่กระทบพื้นฐานของบริษัท เพราะขายสินค้าที่จำเป็น โดยเฉพาะยาในพม่า ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทจะเป็นบวกกับ MEGA ที่มีธุรกิจในต่างประเทศมากกว่า 70% ของยอดขายรวม

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ:

วันศุกร์ ติดตามตัวเลขส่งออกไทยของเดือนพ.ค. ตลาดคาดยังคงหดตัวลงที่ -6.1% YoY (เทียบจากเดือนก่อนหน้าที่ -7.6% YoY) ต่อด้วยข้อมูล Flash PMI ของยุโรป ซึ่งตลาดว่ายังปรับตัวลดลงต่อที่ 44.5 (เทียบจากเดือนก่อนหน้าที่ 44.8)

- Advertisement -