รอดูการโหวตนายกฯ รอบสองในวันนี้ แต่เชื่อไม่มีผลมากกับตลาด

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิด 1% ขานรับผลประกอบการธนาคารขนาดใหญ่ที่รายงานออกมาแล้วสูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ (Bank of America, Morgan Stanly) ด้านน้ำมันดิบ BRT ปรับขึ้น 1.4% หลังจีนประกาศเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจ

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมา สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจพบว่าเป็นไปในทิศทางอ่อนแอ สะท้อนผ่าน (1) ยอดค้าปลีกประจำเดือน มิ.ย. ขยายตัวเพียง 0.2%MoM ต่ำกว่า Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.5%MoM ด้านยอดค้าปลีกที่ไม่รวมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ขยายตัวเพียง 0.2%MoM ต่ำกว่า Bloomberg ประเมินไว้ที่ 0.3%MoM โดยสินค้าที่หดตัว ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (-0.7%MoM) ปั๊มน้ำมัน (-1.4%MoM) อุปกรณ์กีฬา ดนตรี และหนังสือ (-1%MoM) ส่วนหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน (-4.6%YoY) ซึ่งถือเป็นสินค้าคงทนที่สะท้อนความไม่มั่นใจของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังรายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ -0.5%MoM แย่กว่า Bloomberg ประเมินไว้ที่ 0%MoM ภายหลังจากทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า US Bond Yield ทั้งรุ่นอายุ 2 และ 10 ปีเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ Dollar Index ยังทรงตัวในทิศทางอ่อนค่า พร้อมกับ CME FED Watch ให้น้ำหนักปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ที่ 99.8% สำหรับการประชุม FED วันที่ 26 ก.ค. ดังนั้น สัปดาห์หน้าการประชุม FED ถือเป็นปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญ ส่วนในประเทศวันนี้จะมีการโหวดนายกรัฐมนตรีรอบ 2 แม้ก่อนหน้า 8 พรรคร่วมจะมีมติเสนอชื่อคุณพิธา ร่วมชิงการโหวดนายกรัฐมนตรีรอบ 2 แต่ล่าสุดมี ส.ว. และ ส.ส. บางท่านระบุว่าจะเสนอชื่อคุณพิธารอบ 2 ไม่ได้ เพราะข้อบังคับการประชุมสภาข้อที่ 41 ระบุว่าญัตติที่มีหลักการเดียวกันถ้าถูกตีตกไปแล้วไม่สามารถนำมาเสนอซ้ำได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม หากวันนี้ที่ประชุมยังเสนอชื่อคุณพิธา เราก็เชื่อว่าจะยังไม่ผ่าน ส.ว. เช่นเดิมหรือเสียงโหวดจาก ส.ว. อาจจะน้อยลง เนื่องจาก ส.ว. บางท่านอาจใช้เหตุผลการถือหุ้นสื่อของคุณพิธาเป็นเหตุผลในการไม่โหวดสนับสนุน ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นมองไม่มีนัยยะใด เชื่อว่าตลาดกำลังให้น้ำหนักไปแล้วว่าพรรคเพื่อไทยจะขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นแนะนักลงทุนมองข้ามผลโหวดรอบ 2 และรอดูการโหวดรอบ 3

วันนี้ประเมิน SET ปรับตัวขึ้นในกรอบ 1535 – 1545 รับปัจจัยหนุนตลาดหุ้นโลกปรับขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจะหนุนกลุ่มพลังงาน เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังทยอยลดพอร์ตการลงทุน ประเมินดัชนีตอบรับเชิงบวกไปมากแล้วกับการเมือง ส่วนหุ้นแนะนำระยะสั้นเลือกกลุ่มน้ำมัน (PTTEP) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA) ศูนย์การค้า (CPN) โรงไฟฟ้า (BGRIM GPSC GULF)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

PTTEP (ถือ / ราคาเป้าหมาย 162.00 บาท) มองบวกต่อภาพรวมในครึ่งหลังปี 2023 เพราะการที่ OPEC+ ลดการผลิตลงอาจดันราคาน้ำมันดิบขึ้นเหนือ US$80/บาร์เรล ปริมาณขายก็จะฟื้นตัวขึ้นจากการเร่งการผลิตโครงการ เอราวัณ G1/61 เป็น 400 mmcfd ภายในสิ้นปีนี้ (2 เท่าจากปัจจุบัน)

PTTGC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 43.00 บาท) ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยและผลกระทบที่อาจส่งต่อมาถึงกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี คือปัจจัยที่ฉุดราคาหุ้นและมูลค่าหุ้นลงต่ำกว่า -1SD ต่อค่าเฉลี่ย PBV 5 ปี แต่เรามองว่าการฟื้นตัวของกำไรในครึ่งหลังปี 2023 ถึงปี 2024 จะหนุนราคาหุ้นและเป็นจุดเข้าซื้อที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว

- Advertisement -