KCG เปิดเทรดวันแรกที่ระดับ 8.55 บาท เพิ่ม 0.05 บาท หรือ +0.58% จากราคา IPO ที่ 8.50 บาท
KCG ผู้นำการผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เดินหน้าแผนลงทุนยกระดับเทคโนโลยีและขยายกำลังการผลิต สร้างสรรรค์นวัตกรรมสู่เติบโตยั่งยืน
‘บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น’ หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เดินหน้าขยายการลงทุนหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โชว์ฟอร์มเป็นหุ้นที่มีแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตที่ชัดเจน เพื่อยกระดับการผลิตและระบบศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าที่ทันสมัย มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารที่มีคุณภาพในทุกช่วงมื้ออาหาร สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “KCG”) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อ ‘KCG’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่วางรากฐานอย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน จะช่วยสนับสนุนให้ KCG เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายเพื่อก้าวสู่ผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในปี 2566-2567 โดยมุ่งลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนยที่โรงงานเทพารักษ์ จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ภายในปี 2567 รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจร อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าได้อย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งตามชนิดผลิตภัณฑ์ (Product Layout) เทียบเท่ามาตรฐาน GMP C และ GMP D ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรป รวมทั้งวางแผนการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาพัฒนาโรงงานสู่การผลิตระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2567
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า KCG เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เป็นผู้นำการสร้างสรรค์สินค้าสู่ตลาด (Trend Setter) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ทั้งในกลุ่มเนยและชีส ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้งยังเป็นอาหารทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจสุขภาพและสอดรับการขยายตัวของร้านอาหารตะวันตก โดยเฉพาะร้านเบเกอรี่และคาเฟ่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯ ยังมีฐานการผลิตอันแข็งแกร่ง และแผนการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น จึงเชื่อว่าด้วยการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง จะช่วยผลักดันให้ KCG สร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต