บล.บัวหลวง:
Civil Engineering (CIVIL TB / CIVIL.BK)
CIVIL – กำไร 2Q23 เป็นจุดต่ำสุดของปี แนวโน้มฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง
กําไรอ่อนตัวใกล้เคียงกับที่คาด
CIVIL รายงานกำไรสุทธิ 2023 ที่ 13.2 ล้านบาท ลดลง 56% YoY และ 72% QoQ ใกล้เคียงกับเราคาดไว้ที่ 12 ล้านบาท
ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ
กําไรที่ลดลง YoY และ QoQ เกิดจากรายได้รับเหมาก่อสร้างที่ลดลง โดยรายได้หลักรวมอยู่ที่ 1.16 พันล้านบาท (แบ่งเป็นรายได้รับเหมาก่อสร้าง 96%, ขายวัสดุก่อสร้าง 3.5% และค่าเช่า 0.5%) ลดลง 25% YoY และ 19% QoQ จากรายได้รับเหมาก่อสร้างที่ 1.1 พันล้านบาท ลดลง 26% YoY และ 19% QoQ ตาม Backlog งานใหญ่อย่างงานรางรถไฟที่ทยอยส่งมอบไปมากแล้ว สถานะงานรถไฟความเร็วสูงอยู่ในช่วงช้าลงจากช่วงก่อนหน้า ตามรูปแบบและความคืบหน้าของงานที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว รวมทั้งงานทางบางส่วน (พระราม 2) ถูกจำกัดระยะเวลาก่อสร้างช่วงเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจึงอยู่เพียง 6.4% ลดลงจาก 7.6% ใน 2Q23 และ 8.5% ใน 1Q23 ขณะที่ SG&A/revenue ratio อยู่ที่ 6.3% เพิ่มขึ้น 65bps YoY และ 147bps QoQ ส่วนงาน Backlog อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้น มิ.ย. 2023 (ใกล้เคียงไตรมาสที่แล้ว)
แนวโน้ม
แนวโน้มค่าไรหลัก 3Q23 คาดพลิกจากขาดทุน YoY จาก 3Q22 (ที่มีการปรับปรังรายการต้นทุนโครงการ) และอย่างน้อยทรงตัว หรือเพิ่มขึ้น QoQ ขึ้นอยู่กับการเริ่มงานโครงการที่ลงนามใน 2Q23 จะเข้ามาทันมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราประเมินว่าสถานการณ์ไม่น่าจะแย่ไปกว่า 2Q23 ที่ผ่านมาแล้ว และคาดว่า GM จะทรงตัว QoQ ราว 7-7.5% โดยจะเป็นการ Mix กันระหว่างงานใหญ่ที่ GM ต่ำ (แต่ Secure GM) กับงานขนาดกลาง-เล็กที่ GM สูง ที่จะทยอยทํางานในไตรมาสนี้
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป
แม้กำไรหลัก 1H23 คิดเป็น 43% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2023 ของเรา แต่เราประเมินว่าปีนี้การรับรู้รายได้-กำไรจะ Backload อยู่ในช่วง 2H23 (โดยเฉพาะใน 4Q23) เนื่องจากงานใหม่ส่วนใหญ่ที่ลงนามช่วง 2Q23 (และอาจมีเพิ่ม 3Q23) จะใช้ระยะเวลาเตรียมงาน และเริ่มได้ในช่วงราว 4-6 เดือน
คําแนะนํา
เรายังคงคําแนะนําซื้อ และราคาเป้าหมายที่ 3.30 บาท มองว่าผลประกอบการระยะสั้นที่อ่อนแอ แต่เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ (และอาจจะในรอบ 2-3 ปีถัดจากนี้ด้วย) แล้ว และใน 2H23 จะมีโอกาสได้เห็นการลงนามสัญญาต่างๆ ที่เสนอ ราคาต่ำสุดไปแล้ว เพียงแต่รอกระบวนการ ซึ่งหากเรียบร้อยจะหนุน Backlog กลับไประดับ New high ได้ใหม่ และกระตุ้นราคาหุ้นฟื้นตัวจากปัจจุบันที่ชื้อขายบน PER เพียง 10.6 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม 15-17 เท่า) อีกครั้ง