บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Heng Leasing and Capital (HENG.BK/HENG TB)

คาดยังขาดทุนต่อเนื่องจากยอดขายรถยึด

Event

ประชุมนักวิเคราะห์และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง

Impact

คงอัตราการเติบโตของสินเชื่อไว้เดิมที่ 25-30%

บริษัทคงอัตราการเติบโตของการให้สินเชื่อที่ 25-30% YoY ในปี 2566F (เทียบกับสมมติฐานของเราที่ 26%) และเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของการให้สินเชื่อ YTD อยู่ที่ 13% หนุนจากการเร่งรุกขยายสาขาอย่างมากช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนั้น จากการให้สินเชื่อใหม่ที่มุ่งเน้นสินเชื่อจำนำทะเบียน ทำให้ yield เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 18.7% ใน 2Q66 โดยสมมติฐาน yield ในปี 2566 ของเราที่ 18.2% ดูค่อนไปทางอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตาม การที่ yield ดีขึ้นช่วยชดเชยต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 5.3% ใน 2Q66 และบริษัทให้ guidance ว่า ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นราว 25-50 bps ในปีนี้ ทั้งนี้ สัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อต่อสินเชื่อจำนำทะเบียนอยู่ที่ 44%/57% ใน 2Q66 (เทียบกับ 48%/47% ใน 1Q66)

คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ยังสูงอยู่

อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 3.4% ใน 2Q66 (เทียบกับ 3.1% ใน 1Q66) เนื่องจาก i) การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเอ็นพีแอลเกิดใหม่ (NPL inflows) และ ii) การดำเนินการด้านการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ล่าช้า ขณะที่การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการกันสำรองจาก credit cost ใน 2Q66 สะท้อนอัตราการเติบโตของสินเชื่อและการตั้ง management overlay ส่งผลให้ credit cost ใน 1H66 เพิ่มขึ้นเป็น 3.0% (เทียบกับประมาณการปี 2566 ของเราอยู่ที่ 2.5%) ทั้งนี้ เรามองว่า credit cost ใน 2H66 จะยังคงอยู่ในระดับสูง

ขาดทุนสูงจากยอดขายรถยึด

บริษัทได้รับผลขาดทุนอย่างมากจากยอดขายรถยนต์มือสองอยู่ที่ราว 40-50 ล้านบาทในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่ผู้บริหารแนะว่าบริษัทอาจมีการขาดทุนจากยอดขายรถยนต์รถยึดต่อเนื่องถึงใน 2H66F (เทียบกับขาดทุน 95 ล้านบาทใน 1H66 ส่วนสมมติฐานของเราเต็มปี 2566 ขาดทุนอยู่ที่ 90 ล้านบาท) ทั้งนี้ เรามองว่าบริษัทอาจใช้เวลามากกว่าสองไตรมาสเพื่อคลี่คลายปัญหาภาวะขาดทุนดังกล่าว

ปรับลดประมาณการกำไรลง 18% ในปีนี้ และ 19% ในปี 2567F

เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลงที่ 18% และ19% ในปี 2566F และปี 2567F ตามลำดับ เพื่อสะท้อน i) การปรับเพิ่มขาดทุนจากยอดขายลง 120% และ150% ii) ปรับเพิ่ม credit cost ขึ้นเป็น 2.7% และ 2.8% (จากเดิมที่ 2.5% และ 2.5%) และ iii) ปรับเพิ่มต้นทุนทางการเงินขึ้นอยู่ที่ 5.5% และ 5.8% (จาก 5.2% และ 5.4%) ทั้งนี้ กำไรสุทธิใน 1H66 คิดเป็น 44% ของประมาณการกำไรเราปี 2566F

Valuation and action

เมื่อพิจารณาจากการปรับลดประมาณการกำไรและการขยับไปใช้ราคาเป้าหมายเป็นกลางปี 2567 ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 2.00 บาท (อิงจาก PE ที่ 16x) อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าบริษัทอาจใช้เวลามากกว่าสองไตรมาสเพื่อคลี่คลายปัญหาภาวะขาดทุนจากการขายรถยึด ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ Underperform

Risks

อุปสงค์สินเชื่อชะลอตัวเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า yield สินเชื่อลดลงและ NPL เพิ่มขึ้น

- Advertisement -