ออริจิ้น กวาดยอดโอนไตรมาส 2/2566 ทะลุ 4,800 ล้าน พร้อมกำไรกว่า 870 ล้าน เสริมแกร่งร่วมทุนบ้าน–คอนโด–โรงแรม-คลังสินค้า 25 โครงการ หนุนเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.16 บาท ขึ้น XD 28 ส.ค.นี้
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัย ไตรมาส 2/2566 ทะลุ 4,812 ล้าน เติบโต 9% QoQ ด้านพรีเซลทำนิวไฮท์ต่อเนื่อง 12,461 ล้านบาท ครึ่งปีแรกพรีเซล 54% ของเป้าหมาย เดินหน้าขยายธุรกิจทั่วประเทศตามแผน พร้อม Open Platform ร่วมทุนบ้าน-คอนโด–โรงแรม-คลังสินค้า ตลอดไตรมาสเพิ่ม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 25,270 ล้านบาท หวังตอบโจทย์แผน Origin Infinity เพิ่มโอกาสกระจายพอร์ตสร้างรายได้ในทำเลศักยภาพต่างจังหวัด ด้านโรงแรมใหม่ที่เปิดในปลายไตรมาส 1/2566“สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท” ทำอัตราเข้าพักทะลุกว่า 92% ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 ส่งผลทั้งไตรมาสคว้ากำไรสุทธิ 873 ล้าน โตกว่า 9% QoQ แบ็คล็อกแกร่ง 46,000 ล้าน รอรับรู้รายได้ตลอด 5 ปีข้างหน้า พร้อมจ่อร่วมทุนเพิ่มเติมต่อเนื่อง บอร์ดเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.16 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 28 ส.ค.นี้
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) บริษัทมีกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยกว่า 4,812 ล้าน เติบโต 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากกลุ่มโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน (Non-JV) และ โครงการร่วมทุน (JV) ที่ทยอยโอนตามแผน ขณะเดียวกัน บริษัทยังทำสถิติยอดขาย (พรีเซล) โครงการที่อยู่อาศัยสู่ระดับ New-High ได้อย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 12,461 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมียอดพรีเซลสะสมแล้วราว 54% ของเป้าหมายทั้งปี
อีกทั้ง ในไตรมาสนี้บริษัทเดินหน้าร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับพันธมิตร โดยมีการร่วมทุนใหม่ทั้งฝั่งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม และคลังสินค้า รวมกันถึง 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 25,270 ล้านบาท (รวมมูลค่า REIT ประมาณการณ์ของโครงการโรงแรมและคลังสินค้า) สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท แบ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรด้านการเงินการลงทุน (Investment Partner) จำนวน 11 โครงการ มูลค่าประมาณ 12,144 ล้านบาท และพันธมิตรเจ้าของที่ดิน (Landlord Partner) จำนวน 14 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,126 ล้านบาท บริษัทเริ่มเดินหน้าเปิดกว้างการร่วมทุน (Open Platform) มากขึ้นในกลุ่มพันธมิตรเจ้าของที่ดินโดยตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาโมเดลการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินให้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ครึ่งปีแรก บริษัทมีทั้ง Investment Partner และ Landlord Partner เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีที่ดินในทำเลศักยภาพทั้งในและต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยใช้เงินทุนน้อยลงในการพัฒนาโครงการ ตอบโจทย์การขยายจักรวาลตามแผน Origin Infinity กระจายพื้นที่สร้างรายได้ในทำเลศักยภาพใหม่ๆ ทั่วประเทศ สร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่การเติบโตของบริษัทในระยะยาว
ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO นั้น โรงแรมที่เพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงปลายไตรมาส 1/2566 อย่างโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit) โรงแรมแบรนด์ Staybridge Suites จากเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล กรุ๊ป (IHG) ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม มีอัตราการเข้าพักสูงสุดในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง 92.13% จากผลการดำเนินงานทั้งหมด ส่งผลให้ภาพรวมในไตรมาส 2/2566 ของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 873 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า จากผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพและรักษาระดับการเติบโตตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ในอัตรา 0.16 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 392,659,592 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 สิงหาคม 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 13 กันยายน 2566
สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2566) แม้สภาพตลาดยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดหลากหลายปัจจัย อาทิ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จากแผนการขยายธุรกิจทั้งเครือสู่พื้นที่หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสเข้าถึงตลาดศักยภาพใหม่ๆ ที่มีความต้องการสูง และยังไม่มีคู่แข่งทางตรง บริษัทจึงจะยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ และพิจารณาร่วมทุนโครงการใหม่ๆ ในทำเลต่างๆ เพิ่มเติมอีกราวไตรมาสละประมาณ 5-10 โครงการ
อีกทั้ง บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ประมาณ 46,564 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566-2570 โดยบริษัทยังคงมีโครงการที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้หลายโครงการ อาทิ พาร์ค ออริจิ้น จุฬา–สามย่าน (Park Origin Chula-Samyan) พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี (Park Origin Ratchatewi) โซโห แบงค็อก รัชดา (Soho Bangkok Ratchada) ดิ ออริจิ้น อี 22 สเตชั่น (The Origin E22 Station) และโครงการที่จะแล้วเสร็จใหม่ในครึ่งปีหลังอีกกว่า 20 โครงการ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 140 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 2/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 211,301 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร