บล.ฟิลลิป:
ทุนธนชาต – TCAP 2H66 โตตามบริษัทในเครือ
Key Point
1H66 ถึงแม้ว่าจะได้แรงกดดันจาก THANI บล.ธนชาต และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ แต่ธุรกิจประกันที่เติบโต TTB และ MBK ที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้ผลประกอบการยังเติบโต และ 2H66 คาดว่าธุรกิจที่ชะลอจะกลับมาเร่งตัวขึ้น ประกอบกับธุรกิจที่ดีอยู่แล้วจะดีต่อ ทำให้คาดว่าผลประกอบการ 2H66 จะดีกว่า 1H66 เราปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 67 ที่ 50 บาท อาจจะไม่เหลือ Upside gain แล้ว แต่ปันผลที่ยังโดดเด่น ซึ่งแม้แต่ปีที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ก็ยังไม่กระทบกับการจ่ายปันผล ทำให้ทางฝ่ายแนะนำ “ถือ”
1H66 ถึงแม้ว่าบางบริษัทในเครือจะมีกำไรลดลง แต่กำไรรวมยังเติบโต
ใน 1H66 ถึงแม้ว่า TCAP จะมีแรงกดดันจากผลประกอบการของ THANI ที่ลดลงเนื่องจากการตั้งสำรอง และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น และจาก บล.ธนชาตที่มูลค่าการซื้อขายใน ตลท. จะหดตัวลงมาก รวมไปถึงผลขาดทุนในธุรกิจบริหารทรัพย์สินที่การขายทรัพย์สินรอขายทำได้ยาก แต่ก็ยังได้การฟื้นตัวของผลประกอบการของ TTB ที่กำไรเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และธุรกิจประกันที่การขายทำได้ดีขึ้น รวมไปถึงการฟื้นตัวของ MBK ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้กำไร 1H66 ของ TCAP อยู่ที่ 3.4 พันลบ. เพิ่มขึ้นจาก 1H65 ที่มีกำไร 2.8 พันลบ. 19.6% y-y
2H66 คาดกำไรโตได้ต่อ
การได้รัฐบาลใหม่คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการที่เคยชะลอการลงทุนไปกลับมาลงทุนอีกครั้ง และน่าจะทำให้ยอดขายรถบรรทุกกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อการเติบโตสินเชื่อของ THANI และปกติช่วงปลายปีจะเป็น High season ของการปล่อยสินเชื่อน่าจะส่งผลดีต่อ TTB นอกจากนี้ในธุรกิจที่ดีอยู่แล้วอย่างธุรกิจประกันน่าจะทำยอดขายได้ดีขึ้นตามยอดขายรถด้วย ประกอบกับนักท่องเที่ยงยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องน่าจะทำให้ผลประกอบการของ MBK ยังโตได้ต่อ ทางฝ่ายคาดว่าผลประกอบการของ TCAP ใน 2H66 จะเติบโตได้ดีกว่า 1H66
ปันผลยังเป็นจุดเด่น
ถึงแม้ว่า TCAP นั้นจะซื้อขายอยู่ในกลุ่มธนาคาร แต่จากโครงสร้างที่เป็น Holding company ทำให้ TCAP นั้นไม่ติดเกณฑ์การจ่ายปันผลของ ธปท. ส่งผลให้มีการจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่องในอัตราผลตอบแทนที่สูง อย่างปี 62 – 63 ที่อยู่ในช่วง COVID-19 TCAP ก็ยังมีการจ่ายปันผล 3 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็น Div. yield ถึง 6.1% และในปี 66 ที่ทางฝ่ายคาดว่า TCAP จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 6.4 พันลบ. จากปีก่อนที่มีกำไร 5.2 พันลบ. และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นได้เป็น 3.65 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็น Div. yield สูงถึง 7.2% โดยคาดว่าจะมีการจ่ายระหว่างกาล 1.20 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 2.4%
ปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 67 ที่ 50 บาท แนะนำ “ถือ”
เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาลงทุนทางฝ่ายปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 67 ที่ Upside gain เหลือแล้ว แต่ปันผลที่โดดเด่นทำให้ทางฝ่ายแนะนำ “ถือ”
ความเสี่ยง
- ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
- ความเสี่ยงด้านเครดิต
- การเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน