บล.บัวหลวง:

Thaifoods Group (TFG TB/TFG.BK)

TFG – มุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจหมูไทยที่มากขึ้นในระยะสั้น

เราแนะนำให้นักลงทุนสะสมหุ้น TFG หลังจากแนวโน้มราคาหมูมีชีวิตไทยที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ถึงแม้ว่าภาพในระยะยาวจะยังคงมีความไม่แน่นอนจากอุปทานหมูรอบใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดก็ตาม เรายังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น TFG

แนวโน้มของราคาหมูมีชีวิตไทยที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในระยะสั้น

เนื่องจากวงจรของราคาหมูมีชีวิตไทย ณ ปัจจุบันพลิกกลับจากวงจรขาลงกลับไปเป็นวงจรขาขึ้นอย่างกะทันหันในเดือนส.ค. 2566 เราจึงมองว่ากลุ่มธุรกิจหมูไทยเริ่มที่จะดูน่าสนใจและเป็นบวกมากขึ้นในระยะสั้น ถึงแม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนในระยะกลางถึงระยะยาวก็ตาม จากอุปทานหมูรอบใหม่ของผู้ประกอบการรายกลางถึงรายเล็กที่อาจจะเริ่มเข้าสู่ตลาดในปี 2567 หรือหลังจากนั้น หลังการระบาดอย่างหนักของโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) ในหมูในช่วงก่อนหน้า ราคาหมูมีชีวิตในตลาดนครปฐมปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 2 บาท/กก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา (ไปอยู่ที่ 70 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจาก 68 บาท/กก. (ในช่วงวันที่ 21-27 ส.ค.) ซึ่งถือว่าขึ้นมาใกล้เคียงกับราคาหมูมีชีวิตในตลาดกทม. ซึ่งอยู่ที่ 69.50 บาท/กก. (ในช่วงวันที่ 17-28 ส.ค.) และที่ระดับราคานี้ เรามองว่าธุรกิจหมูไทยของ TFG จะยังคงสามารถทำกำไรได้ถ้าเมื่อเทียบกับต้นทุนการเลี้ยงหมูของ TFG ซึ่งอยู่ที่ 60 บาท/กก. หรือต่ำกว่านั้น ทั้งนี้เรามองว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของไตรมาส 3/66 จะได้รับผลบวกจากราคาหมูที่กลับมาฟื้นตัวแรงในครั้งนี้ เทียบกับธุรกิจหมูไทยของ TFG ที่มีแนวโน้มขาดทุนในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 3/66

เรามองว่าราคาหมูมีชีวิตไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วที่ 59 บาท/กก. (สําหรับตลาดต่างจังหวัด) และ 65.5 บาท/กก. (สําหรับตลาดกทม.) ในช่วงตั้งแต่ กลางเดือนก.ค. จนถึงกลางเดือนส.ค. และคาดว่าราคาหมูมีชีวิตมีแนวโน้มพลิกกลับไปเป็นขาขึ้นได้ในระยะสั้น เนื่องจากการเชือดหมูมีชีวิตที่มีน้ำหนักลดลง การส่งออกหมูมีชีวิตกลับไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้เพิ่มมากขึ้น และสถานการณ์การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ค่อยๆ ทยอยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสต็อกหมูเถื่อนที่นำเข้ามาแล้วก่อนหน้าและเก็บไว้ในห้องเย็นจะค่อยๆ ทยอยออกสู่ตลาดจนถึงสิ้นปี 2566

ต้นทุนวัตถุดิบที่คาดว่าจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

ผู้บริหารคาดต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีแนวโน้มลดลง 5-10% HoH เนื่องจากความคาดหวังต่อต้นทุนที่จะลดลงของทั้งข้าวโพดในประเทศและกากถั่วเหลืองในประเทศ สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 รวมถึงการปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ประเภทอื่นแทน เช่น โปรตีนทางเลือกอื่นๆ ข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า โดยภาพรวม เราคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง QoQ ทั้งในไตรมาส 3/66 และไตรมาส 4/66 เนื่องจากจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดในประเทศซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 และฤดูเก็บเกี่ยวของถั่วเหลืองของ สหรัฐฯ ที่จะมาถึง และสําหรับต้นทุนกากถั่วเหลือง เรายังคงคาดว่ามีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เนื่องจากการคาดการณ์ผลผลิตถั่วเหลืองจำนวน มากที่จะเข้าสู่ตลาดจากทั้งประเทศบราซิลและอาร์เจนติน่า

วอลุ่มไก่ส่งออกที่ยังคงแข็งแกร่ง แต่ราคาไก่ส่งออกคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 3/66

ผู้บริหารยังคงตั้งเป้าวอลุ่มไก่ส่งออกที่ 7.5-8 หมื่นต้น (สำหรับไก่สดแช่แข็ง) และ 1.5 หมื่นต้น (สำหรับไก่ปรุงสุก) สำหรับในปี 2566 ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจในยุโรปที่ถดถอย กำลังการซื้อที่ลดลงทั้งในยุโรปและประเทศญี่ปุ่น รวมถึงสต็อกไก่ในยุโรปที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากการสต็อกไปแล้วจำนวนมากของลูกค้ายุโรปในช่วงก่อนหน้า  วอลุ่มไก่ส่งออกในไตรมาส 3/66 คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว QoQ โดยมีปัจจัยหนุนจากวอลุ่มส่งออกไปยังทวีปเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (ซึ่งได้แก่วอลุ่มส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย จีน และญี่ปุ่น) กลบวอลุ่มส่งออกไปยังยุโรปที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราคาดราคาส่งออกเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลง QoQ เนื่องจากราคาส่งออกที่ไปยังยุโรปที่ปรับตัวลดลง ซึ่งกลบราคาส่งออกที่ไปยังประเทศญี่ปุ่นที่ปรับเพิ่มขึ้น และราคาส่งออกที่ไปยังประเทศจีนที่คาดว่าจะทรงตัว

ธุรกิจร้านค้าปลีกถึงจุดคุ้มทุนไปแล้วในเดือนพ.ย. 2565 คาดยอดขายธุรกิจร้านค้าปลีกเติบโตก้าวกระโดดในปี 2567

ธุรกิจร้านค้าปลีกภายใต้ชื่อร้าน “ไทยฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต” ได้ถึงจุดคุ้มทุนไปแล้วตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 ด้วยยอดขายรายวันที่ 1.1-1.2 แสนบาท/ร้าน เทียบกับยอดขายรายวัน ณ ปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 1.3-1.4 แสนบาท/ร้าน เราคาดว่ายอดขายของธุรกิจร้านค้าปลีกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 50-60% YoY สำหรับในปี 2567 (จาก 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ไปเป็น 1.8-1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2567) เราใช้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจร้านค้าปลีกที่ 16-17% และอัตรากำไรสุทธิที่ 1.5% สำหรับในปี 2567

- Advertisement -