บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

IFS CAPITAL (IFS) ปรับกลยุทธ์คุมเข้มสินเชื่อ รอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

Action

BUY

TP upside (downside) 12%

Close Sep 8, 2021 Price (THB) 2.64

12M Target (THB) 2.96

Previous Target (THB) –

What’s new?

  • IFS มีกำไรสุทธิใน 2Q64 จำนวน 36 ลบ. โต 6.6%YoY และ 0.9%QoQ โดยแม้รายได้ดอกเบี้ยรับปรับขึ้น 5.8%QoQ จาก NIM ท่ีเร่ิมฟื้นตัวตาม Asset Yield ท่ีสูงขึ้น แต่หักล้างลงด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานท่ี สูงขึ้น และการต้ังสำรองที่เพิ่มขึ้นจาก 1Q64
  • 2H64 คาดทรงตัว HoH จากการเติบโตของสินเช่ือท่ีจำกัด และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานท่ีเพิ่มขึ้น ก่อนท่ีกำไรจะปรับดีขึ้นใน 4Q64 หากเศรษฐกิจเร่ิมฟื้นตัว หนุนให้ปี 2564 คงประมาณการเดิมคาด IFS จะมีกำไรสุทธิ 143 ลบ. โต 6.7%YoY

Our View

  • เรามอง IFS แม้ในแง่ของการดำเนินธุรกิจจะยังไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ ท่ีน่าสนใจ จนกว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะชัดเจนพอท่ีจะหนุนให้ผู้ประกอบการ SME (ลูกค้าหลักของ IFS) มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ด้วยราคาหุ้น ปัจจุบันยังมี Upside 12% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2564 ท่ี 2.96 บาท (อิงวิธี Gordon Growth Model โดยให้ Ke=10.8%, Sustainable ROE=10%, LTG=2%) และมีจุดเด่นท่ี Div.Yield สูงราว 5.6% (จ่ายปีละ 1 คร้ัง) เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

กำไรสุทธิ 2Q64 ขยับขึ้นเล็กน้อย หนุนจาก Asset Yield ท่ีฟื้นตัวได้ดี

IFS รายงานกำไรสุทธิ 2Q64 จำนวน 36 ลบ.ใกล้เคียงคาดเพิ่มขึ้น 6.6%YoY จาก 2Q63 ที่เป็นไตรมาสแรกที่บริษัทมีการตั้งสำรองเพิ่ม เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่หากเทียบกับ 1Q64 พบว่ากำไรสุทธิปรับขึ้นเล็กน้อย 0.9%QoQ โดยแม้มีปัจจัยบวกจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิท่ีเพิ่มขึ้น 5.8%QoQ จากผลของ NIM ที่เริ่มปรับตัวขึ้นจาก 6.7% ใน 1Q64 เป็น 7% สอดรับกับ Asset Yield ท่ีฟื้นตัว ขณะที่ยังควบคุม Costof Fund ให้อยู่ในระดับท่ีใกล้เคียงกับ 1Q64 ได้ช่วยชดเชยแรงกดดันจากพอร์ตสินเช่ือท่ีลดลง 1.6%QoQ เนื่องจากบริษัทเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อใหม่กับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น จากผลของการ Lockdown 29 จังหวัด ที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับขึ้น 3.8%QoQ แต่หากพิจารณา Cost to Income Ratio พบว่าลดลงเล็กน้อยจาก 47% ใน 1Q64 เนื่องจากฐานรายได้สามารถขยายตัวได้ในอัตราที่สูงกว่าค่าใช้จ่าย

สำหรับคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อค่อนข้างทรงตัว โดยแม้ NPL Ratio สูงขึ้นเล็กน้อย เพราะฐานสินเช่ือที่ลดลงและมี Coverage Ratio ต่ำลงเหลือ 104.7% จาก 108.1% ใน 1Q64 แต่ปริมาณหนี้เสียไม่ได้เพิ่มขึ้น ทำให้การตั้งสำรองของบริษัทใน 2Q64 ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ

2H64 คาดกำไรทรงตัว หลังเพิ่มความระวังในการให้สินเช่ือเพื่อรอเศรษฐกิจฟื้น

กำไรสุทธิใน 1H64 คิดเป็น 50% ของประมาณการทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาด 2H64IFS จะมีผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้น YoY จากฐานท่ีต่ำในปีก่อน ที่มีการตั้งสำรองจำนวนมากใน 3Q64 แต่หากเทียบ 1H64 คาดทรงตัว HoH เนื่องจาก 1) การเติบโตของสินเชื่อใหม่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ทำให้แม้มีความต้องการสินเชื่อเพิ่มเข้ามามาก แต่บริษัทยังคงความระมดัระวังในการให้สินเช่ือใหม่ โดยในเชิงกลยุทธ์จะเน้นให้สินเช่ือเฉพาะลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจท่ีไม่ได้รับกระทบจากการ Lockdown มากนัก เช่น กลุ่มผู้ผลิต อุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อ (ผู้ผลิตหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์) และกลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่ปรับลดสัดส่วนการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการในกลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 2) คุณภาพสินเชื่อในภาพรวมทรงตัว โดยบริษัทมีการติดตามสถานะการเงินของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด ทำให้คาดการเพิ่มขึ้นของ NPL จะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และไม่จำเป็นต้องเร่งตั้งสำรองจำนวนมากในช่วงที่เหลือของปี 2564 และ 3) คาดบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการฉีดวัคซีนให้กับพนักงาน และการดำเนินมาตรการ ป้องกันการแพร่เชื้อ COVID-19 หนุนให้เราคาดทั้งปี 2564IFS จะมีกำไรสุทธิ 143 ลบ. เติบโต 6.7%YoY

แม้ธุรกิจยังไม่มีพัฒนาการเชิงบวกมากนัก แต่จัดเป็น Dividend Stock ท่ีน่าสนใจ

เรามอง IFS แม้ในแง่ของการดำเนินธุรกิจจะยังไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ ที่น่าสนใจ จนกว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะชัดเจนพอที่จะหนุนให้ผู้ประกอบการ SME (ลูกค้าหลักของ IFS) มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นแต่ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 12% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2564 ที่ 2.96 บาท (อิงวิ ธีGordon Growth Model โดย Ke=10.8%, Sustainable ROE=10%, LTG=2%) และมีจุดเด่นที่ Div.Yield สูงราว 5.3%(จ่ายปีละ 1 ครั้ง) เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

- Advertisement -