ASL ANALYSIS GUIDE

SET index แกว่งตัว Spideway ระยะสั้นรอเล่นรอบใหม่ที่ 1,545-1,540 หากไม่ต่ำกว่าลุ้นรีบาวนด์ทางเทคนิค แนวต้านทดสอบ 1,555-1,560 เป็นกรอบพิจารณา

ประเด็นการลงทุน

1. Update ประเด็นทางการเมือง

2. อัตราเงินเฟ้อไทยสูงกว่าคาด จากราคาพลังงาน

วันนี้เคาะ ADVANC ในเชิง Sentiment มองว่า ADVANC รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรง (การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อรองรับ Digital economy ในอนาคตรวมถึงการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง high season ใน 2H) และทางอ้อมจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบายแจกเงินดิจิทัลที่จะทำให้มีการใช้ข้อมูลสูงขึ้น

MARKET STRATEGY

สรุปตลาดวานนี้ SET ปิดที่ 1,547.86 จุด ลดลง 0.82 จุด (-0.05% มูลค่าซื้อขาย 42,853 ล้าน แกว่งกรอบแคบตลอดทั้งวัน หลังขึ้นมามากแล้วทำให้อัพไซด์จำกัด รวมทั้งรับแรงกดดันเงินเฟ้อเดือนส.ค.สูงกว่าคาด และ PMI ภาคบริการจีนชะลอตัว

Research Highlight: ครม.เตรียมแถลงนโยบาย // เงินเฟ้อไทยสูงกว่าคาด

Update ประเด็นทางการเมือง

  • Timeline ครม. เศรษฐา ดังนี้ 6 ก.ย. ประชุม ครม.นัดพิเศษ เตรียมนโยบายฯ 11 ก.ย. แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา 12 ก.ย. ประชุม ครม. นัดแรก
  • นายกฯ เศรษฐา เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 11 ก.ย. นี้ เบื้องต้นประเมินว่าจะไปเน้นที่

1. เศรษฐกิจฐานราก ที่จะกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ลดค่าครองชีพ/เพิ่มกำลังซื้อ (ลดค่าไฟฟ้าราคาน้ำมันดีเซล-แก๊ส, แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท) เพิ่มรายได้/พักหนีเกษตรกร เราชอบ AOT AAV MINT ERW CENTEL SPA BJC CPALL CPAXT DOHOME KK MTC SAWAD TIDLOR SINGER และหลีกเลี่ยงกลุ่มโรงไฟฟ้า

2. โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะมีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายภาครัฐ 67 อาจล่าช้าออกไปจากเดิม 1 ต.ค. ขณะที่โครงการ Public-Private Partnership (PPP) ส่วนที่ล่าช้าหรือหยุดชะงัก คาดว่าจะเริ่มเดินหน้าโครงการได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้อ้างอิงข้อมูลจาก CK และ STEC มีโครงการที่รอการอนุมัติจากภาครัฐสูงกว่า 16 แสนล้านบาท (Mass Transit Project 1.85 แสนล้านบาท, Double Track Railway phase ราว 1.39 แสนล้านบาท / Phase 2 ราว 4 แสนล้านบาท, Motorway & Expressway ราว 2.27 แสนล้านบาท, ขยายสนามบินสุวรรณภูมิดอนเมือง และเชียงใหม่ราว 6.58 หมื่นล้านบาท, EEC 5.96 แสนล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติในปี 66-67F ใต้เกือบ 5 แสนล้านบาท

3. ระบบดิจิทัลเพื่อรองรับ Digital economy ในอนาคต เพื่อนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การขนส่ง การขาย และการบริการ โดยกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล โดดเด่นและน่าสนใจ ได้แก่ การบริการทางการเงินดิจิทัล (FinTech) เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และเทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech) เราชอบ กลุ่มหุ้นที่ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เครือข่ายโทรคมนาคม และกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Digital asset เช่น JMART COM7 ADVANC TRUE RS SIRI ORI XPG เป็นต้น

  • ด้าน สว. เตรียมซักฟอกนโยบายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และแนวทางการหารายได้ของรัฐบาล, และเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมของอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ขณะที่ประเด็นนโยบายปรองดองที่มีผู้เสนอให้ออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมนักโทษคดีการเมืองนั้น หากเห็นพ้องต้องกัน ไม่ขัดข้องต่อกัน ทาง สว. ก็จะขอให้ดำเนินการไปตามทางกฎหมาย
  • หากออกมาในทิศทางบวก จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการลงทุน แนวโน้ม fund flow มีโอกาสไหลเข้ามากขึ้น แนะนำสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

อัตราเงินเฟ้อไทยสูงกว่าคาด จากราคาพลังงาน

  • อัตราเงินเฟ้อ ส.ค. สูงกว่าที่คาดจาก 0.61% เป็น 0.88% จากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาอาหารปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับภูมิภาคถือว่าต่ำสุดในอาเซียน
  • ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในเดือนก.ย. ทรงตัวหรือปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ได้แก่ ราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้มที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่อาจเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่สถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงกว่าปีที่ผ่านมาในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ปริมาณพืชผลการเกษตรและปศุสัตว์ลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้ากลุ่มอาหารและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องสูงขึ้น อย่างไรก็ดี หากภาครัฐมีนโยบายที่ลดค่าครองชีพ (ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ราคาก๊าซหุงต้ม) ได้เร็วจะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลง
  • ทั้งนี้ในงวด 9M66 มีอัตราเงินเฟ้อที่ 2.01% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (กรอบ 1-2%) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนด (กรอบ 1-3%)
  • ส่งผลให้แนวโน้ม กนง. มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 27 ก.ย. ที่ระดับ 2.25% และถือเป็น terminal rate ของวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในครั้งนี้
  • ในเชิงกลยุทธ์เป็นบวกต่อกลุ่มที่อิงการบริโภค (ค้าปลีก สื่อสาร การเงิน) เราชอบ BJC CPALL CPAXT ADVANC TRUE MTC SAWAD SINGER

วันนี้ติดตาม

  • ดัชนี PMI ฝ่ายจัดซื้อและภาคบริการของสหรัฐ คาดว่าจะออกมาที่ 51 จุด และ 52.5 จุดตามลำดับ

Investment Strategy

  • ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ระยะสั้นรอเล่นรอบใหม่ที่ 1545-1540 หากไม่ต่ำกว่าลุ้นรีบาวนด์ทางเทคนิค แนวต้านทดสอบ 1555-1560 เป็นกรอบพิจารณา ส่วนแนวต้าน 1600 ยังมองว่ามีโอกาสทดสอบในช่วง 4Q66F
  • แนะนํา Selective buy รายตัวในหุ้นที่มี 1. มีปัจจัยบวกมหภาคในระยะสั้น (เช่น ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวแรง, หุ้นที่อิงการบริโภคในประเทศจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ) 2 แนวโน้มผลประกอบการ 2H66F ดีกว่า 1H66 และ 3. ราคาปัจจุบันยังมี upside > 15%

Global Markets

(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ขณะที่นักลงทุน ประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และจับตาข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐอย่างใกล้ชิด ก่อนที่การประชุมเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอของจีนและยูโรโซน ซึ่งทำให้เกิด ความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานได้ช่วยหนุนตลาดก็ตาม

(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ขานรับข่าวซาอุดีอาระเบียและรัสเซียประกาศขยายเวลาการปรับลดอุปทานน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงสิ้นปี 2566

(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบเนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยฉุดตลาด

หุ้นเคาะไป คุยไป..ADVANC

  • แนวโน้ม 3Q66F ประมาณการจาก Bloomberg คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 7.4 พันล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่ดีขึ้น 22.6%YoY มาจาก Avg ARPU ธุรกิจมือถือทรงตัว CoQ-YoY ในกรอบ 210-215 บาท/หมายเลข/เดือน และจำนวนผู้ใช้บริการที่ทรงตัว 45+/- ล้านหมายเลข ในขณะที่ Avg ARPU ธุรกิจเน็ตบ้านที่คาดว่าจะทรงตัว QoQ-YoY ในกรอบ 412-418 บาท/ราย/เดือน แต่ประเมินว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการที่คาดว่าเพิ่มขึ้นราว 2%QoQ มาอยู่ที่ 2.375 ล้านราย เทียบกับ 3Q65 ที่ 2.085 ล้านร้าย ส่วนภาพรวมทั้งปีประเมินที่ 2.86 หมื่นล้านบาท +5.1%YoY ได้อานิสงส์จากแนวโน้มอัตราค่าบริการที่ยังมี room ขึ้นได้ต่อ รวมถึงต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยที่ลดลง และแรงกดดันการแข่งขันธุรกิจที่ลดลง ส่วนการเติบโต EBITDA ผู้บริหารตั้งเป้าในระดับ 5%+/- ซึ่ง 1H66 อยู่ที่ 2.4%YoY ดังนั้นหากจะต้องทำให้ได้ตามเป้า จำเป็นต้องทำได้สูงถึง 7-8% ใน 2H66F ซึ่งผู้บริหารให้มุมมองที่ค่อนข้างท้าทาย แต่อย่างไรก็ดีเป็นช่วง high season ของธุรกิจ จึงเชื่อว่าสามารถทําได้ตามเป้า
  • ในเชิง Sentiment มองว่า ADVANC รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรง (การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อรองรับ Digital economy ในอนาคต รวมถึงการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง high season ใน 2H) และทางอ้อมจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบายแจกเงินดิจิทัล ที่จะทำให้มีการใช้ข้อมูลสูงขึ้น ในเชิง valuation ปัจจุบันซื้อขายบน EV/EBITDA ที่ 9.38 เท่า ใกล้เคียงกับ TRUE ที่ 9.30 เท่า แต่สถานการณ์การแข่งขันของกลุ่มที่ไม่รุนแรง จึงมองว่า ADVANC มีความน่าสนใจกว่าในแง่ประสิทธิภาพในการสร้างกำไร  และการสร้าง New S-curve ของธุรกิจเน็ตบ้าน ขณะที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอราว 3-4% ต่อปี
  • สําหรับประเด็นความคืบหน้าดีลซื้อ 3BB และ JASIF หลังทาง JASIF ได้ขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญา ได้แก่ 1.พักการชำระเงินค่ารับประกันรายได้จํานวน 288.69 ล้านบาทต่อเดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2566 เป็นต้นไป 2. ขอให้กองทุนยุติสัญญารับประกันรายได้ 3. ขอให้ขยายระยะเวลาสัญญาเช่าหลักจากวันที่ 29 ม.ค. 2575 เป็นวันที่ 31 ธ.ค. 2581 หรืออีก 7 ปี พร้อมเรียกเก็บค่าเช่า สําหรับระยะเวลาที่ขยายออกไป อัตราเริ่มต้น 402.37 บาท เทียบกับอัตราปัจจุบันที่ 454.9 บาท และมีมติเห็นชอบการแก้ไขสัญญาตามที่ 3BB เสนอ มองเป็นประโยชน์ต่อ ADVANC เนื่องจากช่วยลดต้นทุนค่าเช่าตามสัญญาประกันรายได้ และได้ฐานลูกค้าเน็ตบ้านมากขึ้น
- Advertisement -