KS Daily View 09.10.2023 >>> คาดกลุ่มพลังงานฟื้นตัวเด่น จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลาง คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,425-1,460 จุด หุ้นแนะนำ PTTEP, TOP

สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน

ต่างประเทศ: ดัชนีDJIA +0.87%, S&P 500 +1.18%, NASDAQ +1.60%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+1.94%), Communication Services (+1.82%), Utilities (+1.37%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Consumer Staples (-0.48%) เป็นต้น

ในประเทศ: SET Index -14.10 จุด หรือ -0.97% ปิดที่ 1,438.45 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ TQM (+3.82%), STA (+3.07%), CPN (+2.00%), VGI (+1.83%)เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ JMT (-5.61%), MTC (-5.41%), DELTA (-5.29%), SABUY (-4.58%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,425 – 1,460 จุด โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากความกังวลเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้องระดมทุนเพิ่ม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และสภาพคล่องในตลาดลดลงกระทบการระดมทุนของภาคเอกชน อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวจะหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ทำให้หุ้นไทยไม่ลงแรงเหมือนต่างประเทศจากที่กลุ่มพลังงาน และปิโตรฯ ถ่วงน้ำหนัก 15.5%

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ย. (+336K vs. est. +170K) ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ค่าจ้างปรับเพิ่มน้อยกว่าคาด (+0.2% MoM vs. +0.3% WoW) และอัตราการว่างงานสูงกว่าคาดในเดือน ก.ย. (3.8% vs. 3.7%) เพราะอุปทานแรงงานออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ตลาดคลายกังวลเรื่องDemand pull inflation และเพิ่มความคาดหวัง Soft Landing ของเฟด นอกจากนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯที่รายงานอาจสูงเกินจริง และอาจต้องรอการปรับตัวเลขเลิกจ้างในช่วงปลายฤดูร้อน ทั้งนี้หลังการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดปรับเพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยอีก 25bps. ของเฟดในวันที่ 1 พ.ย. เป็น 27% จาก 20% วันก่อนหน้า และ 18% สัปดาห์ก่อน

2.) Down Jon futures ปรับตัวลง -0.6% เช้านี้ หลังจากที่กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลอย่างไม่คาดคิดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งขู่ว่าจะทำลายเสถียรภาพในตะวันออกกลาง เพิ่มความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ให้กับตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วซึ่งต้องรับมือกับอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 3% เช้านี้เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส หากลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในตะวันออกกลาง อาจกระทบการผลิต และขนส่งน้ำมันดิบทางทะเลได้ ขณะเดียวกันการโจมตีอิสราเอลยังช่วยเพิ่มความต้องการทองคำในฐานะเป็นทรัพย์สินที่ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น +0.9%

3.) ติดตามแนวโน้มยอดขาย และผลประกอบการของกลุ่มนิคมในช่วง 2H23 ซึ่งคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจาก 1H23 ทั้งนี้ ผู้ว่ากนอ. ได้ให้ข้อมูลผ่าน นสพ. ประชาชาติธุรกิจว่า ในรอบปีงบประมาณ 2566 กนอ.มียอดขายและเช่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมประมาณ 5,693 ไร่ และเพิ่มขึ้น 182% จากปีก่อน และเกินกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ที่ 2,500 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ในอีอีซี 4,753 ไร่ และนอกพื้นที่ อีอีซี 939 ไร่ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 467,351 ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณ 2567 ทาง กนอ.ได้ประมาณยอดขาย/เช่าที่ดินไว้ 3,000 ไร่ สูงกว่าเป้าหมายในปี 2566 ที่วางไว้2,500 ไร่ เนื่องจากเล็งเห็นมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในลักษณะอย่างนี้อีกจนถึงไตรมาส 3-4 ของปี 2567 โดยกลุ่มนักลงทุนที่จะเข้ามาในปี 2567 คาดว่าจะเป็นนักลงทุนชาวจีน เพราะมองว่าเราเป็นพื้นที่แข่งขันระหว่างสหรัฐ อย่างรถยนต์ไฟฟ้า 2 ค่าย Tesla กับ BYD ที่หั่นราคากันเป็นแสน รวมถึงนักลงทุนญี่ปุ่นกับไต้หวันที่ขยายฐานการผลิตจากจีนมาไทย นอกจากนี้กลุ่มยุโรปก็ให้ความสนใจมาลงทุนจากปัญหาด้านพลังงานและค่าแรงสูงมากในยุโรป ตอนนี้ทาง กนอ.จึงต้องพยายามหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการลงทุนที่จะเข้ามา อาทิ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ อย่าง Landbridge และนิคมฮาลาล เป็นต้น มองข่าวดังกล่าวเป็น sentiment บวกกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

4.) ติดตามทิศทางราคาหมูที่ลดลงต่อเนื่องจากปัญหาอุปทานล้านตลาด โดยราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มล่าสุดปรับตัวลงเหลือ58 บาทต่อ ก.ก. (จากข้อมูลล่าสุดของ สศก.) ทั้งบริษัทผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่-ห้างสรรพสินค้า-สินค้าธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์-หมูเถื่อน ลงมาเล่นตลาดขายปลีก ลดราคาหมูเนื้อแดงเหลือ 50-80 บาทต่อ ก.ก. ขณะที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาตินัดถก 20 บริษัทรายใหญ่ แก้ปัญหาหมูล้นตลาด หลังได้ข้อสรุปเร่งส่งออก 10% ตัดวงจรทำหมูหัน 4.5 แสนตัวใน 3 เดือน ขณะเดียวกันราคาหมูที่ตกต่ำได้ส่งผลกระทบมายังราคาไก่หน้าฟาร์มด้วย โดยล่าสุดปรับลดลงเหลือ 40 บาทต่อ ก.ก. มองสถานการณ์ราคาเนื้อสัตว์จะยังทรงตัวต่ำจนกว่าจะผ่านเทศกาลกินเจ ระหว่าง 15-23 ต.ค. นี้ มองเป็นลบต่อกลุ่มปศุสัตว์ของไทยอย่าง CPF, TFG, BTG, GFPT

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,425 – 1,460 จุด โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากความกังวลเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้องระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรเพิ่ม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และสภาพคล่องในตลาดลดลงกระทบการระดมทุนของภาคเอกชน ซึ่งต้องรอความชัดเจนของการจัดหาแหล่งเงินทุนของทางภาครัฐ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยปรับตัวขึ้นต่ออีก 18bps. WoW เป็น 3.36% อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวจะหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ทำให้หุ้นไทยไม่ลงแรงเหมือนต่างประเทศจากที่มีกลุ่มพลังงาน และปิโตรฯ ถ่วงน้ำหนัก 15.5% สำหรับปัจจัยที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้ได้แก่ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง US 10Y bond yield และสินทรัพย์เสี่ยง โดยตลาดคาดตัวเลข Core inflation เดือน ก.ย. ที่ 4.1% ซึ่งมองว่ายังคงลดลงช้า และอาจเพิ่มน้ำหนักให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อได้เช่นกัน

หุ้นแนะนำวันนี้

Top pick: PTTEP (ราคาพื้นฐาน 180 บาท)คาดราคาหุ้น PTTEP ฟื้นตัวตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ล่าสุดเช้านี้ปรับตัวขึ้นกว่า 3% บนความเสี่ยงสถานการณ์ Geopolitical risk ในตะวันออกกลางที่สูงขึ้น หากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5 ดอลลาร์ฯ ต่อปี จะเพิ่มกำไรสุทธิประมาณ 4.9 พันลบ./ปี และมูลค่าตามวิธีคิดลดเงินสด (DCF) ที่ 7 บาท/หุ้น ทั้งนี้ราคาหุ้น PTTEP ปรับตัวลงมา -5.2% ในเดือน ต.ค. ตามการปรับฐานของราคาน้ำมัน

TOP (ราคาพื้นฐาน 55.50 บาท) เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวในระดับสูงในกรอบ 80-90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และมอง และ GRM ก็จะยังคงอยู่ในช่วงกลางวัฏจักร เราคาดว่าGRM จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล โดยเฉลี่ย และอาจผันผวนได้ 2-3 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ออกจากค่าเฉลี่ยตามการเร่งกลับมาเก็บ/ระบายสต็อกน้ำมัน และปริมาณอุปสงค์และอุปทานใหม่ที่อาจไม่สอดคล้องกันในระยะสั้น ในขณะที่เราคาดว่าธุรกิจอะโรเมติกส์จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ปี 2567 หนุนจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ปรับลดลง ดังนี้คาดว่า TOP จะได้ประโยชน์สูงสุดจากธีมดังกล่าว นอกจากนี้ผู้บริหารของ TOP แจ้งว่าได้มีการถ่ายน้ำมันค้างท่อของ SBM ออกหมดแล้ว ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการรั่วไหลอีกครั้งจึงต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ เรามองว่าราคาหุ้น TOP ปัจจุบันไม่แพง เทรดบน PBV ที่ 0.66x ต่ำกว่า -1SD เล็กน้อย ขณะที่โรงกลั่นอื่นๆ (BCP, SPRC, ESSO) เทรดในกรอบ -1SD ถึง mean  ทั้งนี้ราคาหุ้น TOP ปรับตัวลงมา -7.4% ในเดือน ต.ค. ตามการปรับฐานของราคาน้ำมัน

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันจันทร์ ติดตามรายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยเดือน ก.ย. จากก่อนหน้านี้ที่56.9 จุด อย่างไรก็ตามไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของต่างประเทศประกาศเนื่องจากเป็นวันหยุดธนาคารของในฝั่งญี่ปุ่น (วันกีฬาแห่งชาติ) และสหรัฐฯ (วันโคลัมบัส – เพื่อระลึกถึงการค้นพบทวีปอเมริกา)
  • วันอังคาร ติดตามรายงานตัวเลขการปล่อยสินเชื่อใหม่ของจีน (New Yuan loans) สำหรับเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่2.5 ล้านล้านหยวน เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.36 ล้านล้านหยวน
  • วันพุธ ติดตามบันทึกการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ FOMC minutes และติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ เดือนก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.3% MoM จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 0.7% MoM ขณะที่ด้านตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่ไม่รวมพลังงานและอาหาร (core PPI) ของสหรัฐฯ เดือนก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.2% MoM ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
  • วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 3.6%YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.7% YoY และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่4.1% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.3% YoY
  • วันศุกร์ เป็นวันหยุดธนาคารของไทย ขณะที่ฝั่งต่างประเทศมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเช่น จีนมีประกาศตัวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 0.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.1% YoY และตัวเลขการส่งออกเดือนก.ย. ตลาดคาดหดตัว 7.5% YoY แต่ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 8.8% YoY และปิดท้ายที่ฝั่งสหรัฐฯมีรายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่น University of Michigan (UOB) เดือนต.ค. ตลาดคาดปรับตัวลดลงแตะ 67.5 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 68.1 จุด
- Advertisement -