บล.เอเซีย พลัส:
JMT ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ
JMT (Outperform) |
ราคาปัจจุบัน (บาท) 35.25 |
ราคาเป้าหมาย (บาท) 47.00 |
Upside (%) 33.3 |
Dividend yield (%) 4.0 |
วานนี้บริษัทได้ให้ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ว่ายังคงเป้ากำไรปี 2566 โต 20% – 30% YoY โดยกำไรในช่วง 2H66 น่าจะโตได้ดีกว่า 1H66 จากรายได้ที่จะสูงขึ้น ตามมูลค่าลูกหนี้ที่ซื้อเข้ามาเพิ่มแล้ว 1 แสนล้านบาท (เงินลงทุนราว 5 พันล้านบาท) ส่วนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ได้สะท้อนไปในต้นทุนการซื้อหนี้แล้ว รวมทั้งไม่มีปัญหาสภาพคล่อง เพราะน่าจะได้เงินสดจากการเก็บหนี้ 9 พันล้านบาท/ปี ขณะที่หุ้นกู้ที่ครบกำหนดปีนี้ได้ชำระหมดแล้ว (ในปีหน้ามีส่วนที่จะครบกำหนด 2.4 พันล้านบาท)
เรายังคงประมาณการกำไรปี 2566 – 2567 ไว้ตามเดิมที่ 2.0 – 2.5 พันล้านบาทตามลำดับ แต่ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 47 บาท และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นกำไรงวด 2H66 น่าจะดีขึ้นทั้ง HoH และ YoY และ 2) ราคาหุ้นลดลงสะท้อนความกังวลต่างๆไปมากแล้ว (-26% จากสิ้น ก.ย 66)
มีปัจจัยเชิงลบจากภายนอก แต่บริหารจัดการได้
งานนี้ (17 ต.ค. 66) ผู้บริหาร JMT ได้ให้ข้อมูลผ่านสื่อ (Money Chat) โดยชี้แจงว่า
1) แม้ภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นช้า แต่การจัดเก็บหนี้ในช่วง 2H66 ของบริษัทยังไม่มีปัญหา เพราะ
- ลูกหนี้เดิมยังสามารถจ่ายหนี้ได้ เนื่องจากหนี้ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล ซึ่งผู้กู้เป็นบุคคลที่มีรายได้ประจำ
- หนี้ใหม่ที่ซื้อมาเพิ่ม จะทยอยสร้างรายได้ให้ในไตรมาสถัดไป ซึ่งรายได้ที่จะเกิดใน 2H66 จากหนี้ใหม่ จะมาจากหนี้ที่ซื้อมาเพิ่มใน 1H66 จำนวน 6 หมื่นล้านบาท
- หนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งต้องตั้งสำรอง (ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดจะเกิดขึ้น) มีสัดส่วนไม่มาก หรือราว 10% ของพอร์ตลูกหนี้ทั้งหมด
2) อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทมีต้นทุนในการกู้ยืมที่สูงขึ้น แต่ผลการดำเนินงานจะไม่ตกต่ำลง เนื่องจากได้สะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เข้าไปในการ พิจารณาซื้อพอร์ตลูกหนี้แล้ว โดยบริษัทจะคำนึงถึงอัตราผลตอบแทนที่กำหนดไว้ในระดับ 12%
3) บริษัทไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง เพราะได้จ่ายคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระสำหรับปี 2566 ไปหมดแล้ว และมียอดที่จะครบกำหนดชำระในปี 2567 ที่ 2.4 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทเชื่อว่าจะมีกระแสเงินสดจากการเรียกเก็บหนี้ในปี 2566 ที่ราว 9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้า (ปี 2565 อยู่ที่ราว 6 พันล้านบาท)
บริษัทยังเชื่อมั่นกำไรปี 66 จะเป็นไปตามเป้าและทำ New high
บริษัทยังชื่อมั่นว่ากำไรในช่วง 2H66 จะโตดีกว่า 1H66 และยังคงเป้าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2566 ไว้ที่ 20% -30% YoY จากปัจจัยสนันสนุนดังต่อไปนี้
- คาดรายได้จากการบริหารหนี้ที่ไปซื้อมาบริหารเอง (รายได้หลัก) จะโตขึ้นตามพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัว โดยหนี้ที่ซื้อเข้ามามีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท (ใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ไปราว 5 พันล้านบาท) ซึ่งหนี้ที่ซื้อมาตั้งแต่ใน 1H66 เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทได้แล้วใน 2Q66 – 3Q66 ส่วนหนี้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ใน 3Q66 ราว 3 หมื่นล้านบาท จะเริ่มสร้างรายได้ให้ใน 4Q66
- ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ระดับ 68% – 69%
- การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC (บ.ร่วมทุนระหว่างกลุ่ม JMT และ บ.ลูกของ KBANK) มีแนวโน้มเข้ามาสูงกว่าเป้า จากการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้ของ JK AMC ที่เร็วกว่าเป้า และจัดเก็บหนี้ได้เร็วกว่าเป้าโดยหลังเริ่มซื้อหนี้เข้ามา ตั้งแต่ 2H65 ปัจจุบัน JK AMC มีพอร์ตลูกหนี้สะสมแล้ว 1 แสนล้านบาท โดยหากมองอย่างอนุรักษ์นิยม สำหรับงวด 2H66 หาก JK AMC มีกำไรเท่ากับ 1H66 จะทำให้ JMT รับรู้กำไรจาก JK AMC ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยมองว่าด้วยพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัวขึ้นย่อมทำให้ยอดการจัดเก็บหนี้สูงขึ้น ขณะที่ยังบริหารจัดการต้นทุนได้ดี บวกกับเมื่อพิจารณาข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า JMT มักมีกำไรในช่วง 2H ที่ดีกว่าช่วง 1H จึงทำให้เราเชื่อว่ากำไรในช่วง 2H66 จะโตได้ทั้ง HoH และ YoY ซึ่งจะทำให้คาดการณ์กำไรปี 2566 ของเรา ที่ 2.0 พันล้านบาท มี upside
ยังมีปัจจัยหนุนกำไรในปี 2567
ฝ่ายวิจัยมองว่าบริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ในอนาคต จากปัจจัยหนุน คือ
- คาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใน 2567 จะหนุนทั้งกำลังซื้อ และการจ่ายหนี้นับเป็นปัจจัยบวกต่อ JMT ที่ทำธุรกิจจัดเก็บหนี้ นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะกระตุ้นให้ลูกหนี้จ่ายชำระ โดยการทำแคมเปญให้ส่วนลดมากขึ้น สำหรับการ ปิดบัญชีหนี้
- จะรับรู้รายได้จากพอร์ตลูกหนี้ที่ซื้อมาเพิ่มในปี 2566 เข้ามาอย่างเต็มปี โดยมีมูลหนี้ 1 แสนล้านบาท ที่ซื้อในช่วง 9M66 และหนี้ที่จะซื้อเพิ่มใน 4Q66 ที่ตั้งเป้าจะซื้อเพิ่มอีกราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะเริ่มจัดเก็นหนี้และรับรู้รายได้ตั้งแต่ 2567 เป็นต้นไป
- บริษัทมีนโยบายจะซื้อหนี้เข้ามาเพิ่มอีกในปี 2567 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ในอนาคต โดยจะใช้เงินลงทุนสำหรับการเข้าซื้อลูกหนี้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท
- สถาบันการเงินจะยังมีการขายหนี้ออกมาต่อเนื่อง และจากการที่ NPL ส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อจากการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นโอกาสของ JMT เนื่องจากบริษัทมีความถนัดในการติดตามหนี้ประเภทนี้
คงประมาณการกำไร และคงคำแนะนำ “Outperform”
เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปี 2566-2567 ไว้ตามเดิมที่ 2.0 พันล้านบาท (+17% Yoy) และ 2.5 พันล้านบาท (+20% YoY) แต่ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 2567 เท่ากับ 47.00 บาท (อิง PBV 2.31 เท่า)
ทั้งนี้เราเชื่อว่าราคาหุ้น JMT จะ “Outperform” ตลาดได้จาก 1) กำไรในช่วง 2H66 ที่ยังดูมีแนวโน้มสดใส โดยคาดจะเติบโตขึ้นได้ทั้ง HoH และ YoY และ 2) ราคาหุ้น JMT สะท้อนความกังวลต่างๆไปมากแล้ว จากราคาหุ้นปัจจุบันที่ปรับลดไปกว่า 26% นับตั้งแต่สิ้น ก.ย. 66 โดยซื้อขายที่ PBV ราว 1.9 เท่า (ต่ำกว่า -2 SD. ซึ่งอยู่ที่ราว 2.4 เท่า)
ประเด็นความเสี่ยง
1. เศรษฐกิจชะลอตัว อาจส่งผลกระทบต่อการรับจ้างจัดเก็บหนี้และการจัดเก็บกระแสเงินสดของบริษัทได้
2. กฎหมายและข้อบังคับจากภาครัฐ