KS Daily View 20.10.2023 >>> คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,415-1,450 จุด จากแรงกดดันของ Bond yield สหรัฐฯ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5% ประธานเฟดยังเปิดทางขึ้นอัตราดอกเบี้ย หุ้นแนะนำ BDMS, MEGA
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้
- ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.75%, S&P 500 -0.85%, NASDAQ -0.96%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Communication services (+0.32%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Real estate (-2.44%), Consumer discretionary (-2.20%), Finance (-1.25%) เป็นต้น
- ในประเทศ: SET Index -14.81 จุด หรือ -1.03% ปิดที่ 1,423.04 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ TIPH (+3.01%), TQM (+2.90%), FORTH (+1.98%), PLANB (+1.90%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ AMATA (-4.72%), STA (-4.58%), IRPC (-4.46%), BGRIM (-4.08%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,415 – 1,450 จุด ตลาดหุ้นน่าจะถูกกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวลดลง จากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีที่แตะระดับ 5% ซึ่งสุงสุดในรอบ 16 ปี จากถ้อยแถลงของประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ เปิดทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอาจบังคับให้เฟดต้องกระชับนโยบายเพิ่มเติม ขณะที่ความน่าจะเป็นของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจาก CME Fed WatchTool ประเมินว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยการประชุมวันที่ 1 พ.ย. ไว้ที่ 99.9% ส่วนการประชุมเดือน ธ.ค. มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยไว้ 75.3% ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังคงต้องรอความชัดเจนของโครงการดิจิตอลวอลเล็ตที่จะประชุมหาข้อสรุปวันที่ 24 ต.ค. นี้
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York) เมื่อคืนนี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัวของสหรัฐจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก พร้อมกับกล่าวว่าเงินเฟ้อของสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดจะยังคงมุ่งมั่นต่อพันธกรณีในการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน
- สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 2% สู่ระดับ 3.96 ล้านยูนิตในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.89 ล้านยูนิต
- กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 198,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 210,000 ราย
- หุ้น Netflix เพิ่มขึ้นมากกว่า 16% หลังจากรายงานผลประกอบการไตรมาสสามซึ่งเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ เนื่องจากมีการเติบโตของจำนวนสมาชิกที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2020 ขณะที่หุ้น ปรับลดลง 9% หลังจากผลประกอบการไตรมาส 3 ต่ำคาดการณ์ เนื่องจากการลดราคาล่าสุดส่งผลกระทบต่อกำไร
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,420 – 1,460 จุด โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ยังสูงอยู่ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่ 1.) การประกาาศกำไร 3Q23 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์; 2.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศ หลังรัฐบาลมีแผนปรับลดงบประมาณในโครงการดิจิตอลวอลเล็ต และกระจายแหล่งที่มาของเงินทุน เพื่อลดแรงกดดันในการออกพันธบัตร; 3.) ราคาน้ำมันดิบจากความเสี่ยงที่สงครามอิสราเอล-ฮามาสจะขยายวงในตะวันออกกลาง; และ 4.) ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของจีน (คาด +4.5% YoY) และถ้อยแถลงของ Fed Chair Powell ในคืนวันพฤหัสฯ
หุ้นแนะนำวันนี้
- Top pick: BDMS (ราคาพื้นฐาน 34.1 บาท) คาดกำไรไตรมาส 3/2566 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ อีกทั้งราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นโรงพยาบาลอื่นๆ อย่าง BH และ BCH แต่การขายหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้น BDMS น่าจะรายงานกำไรปกติทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 3/2566 ที่ 3.6 พันลบ. เพิ่มขึ้น 18% QoQ และ 7% YoY จากรายได้และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น
- MEGA (ราคาพื้นฐาน 49.20 บาท) คาดกำไรไตรมาส 3 จะออกมาดี จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการดำเนินงานของธุรกิจในเมียนมาร์คาดว่าไม่ได้มีผลกระทบมากจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดย กำไรปกติไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 757 ลบ. (+39.2% YoY และ +41.7% QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้ 32.0%
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางจีน PBOC ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ย Loan prime rate ระยะ 1 ปี ที่ 3.45% และ Loan prime rate ระยะ 5 ปี ที่ 4.20%