บล.กรุงศรีฯ: 

KCG CORPORATION (KCG TB/ KCG.BK)

KCG – 3Q23F กำไรดีกว่าไตรมาสก่อนหน้าจากต้นทุนที่ถูกลง (TP Bt12.00, HOLD)

กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
หุ้นKCG
มูลค่าพื้นฐาน12.00
คำแนะนำHOLD

เราคาดการณ์ว่า KCG จะมีกำไรจากธุรกิจหลักราว 58 ล้านบาทในช่วง 3Q23 เพิ่มขึ้น 15% qoq จากปัจจัยหลักคือ 1) ยอดขายโตขึ้น 7%และ 2) อัตรากำไรขันต้นขยายตัว 0.4ppt จากการชะลอตัวลงของราคาที่สูงขึ้น ด้วยมุมมองต่อกำไรของ 3Q23F ที่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับคาดการณ์ของเรา เราจึงยังคงคำแนะนำ ถือ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 12 บาท

อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 0.4ppt ไปอยู่ในระดับ 30%

เราคิดว่ารายได้จะมีการเติบโตที่ระดับ 7% qoq โดยมีอัตราการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกันในทุก segment เรายังเห็นว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะสามารถขยายตัวได้อีก 0.4ppt อยู่ในระดับ 30% จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงโดยเฉลี่ยราว 5% qoq โดยเฉพาะน้ำมันเนย และน้ำมันปาล์ม (โดยทั้งคู่คิดเป็น 20% ของต้นทุนขาย (COGS)) ซึ่งมีส่วนช่วยลดต้นทุนลงได้เป็นอย่างมากในไตรมาสนี้

อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 0.4ppt ไปอยู่ในระดับ 30%

เราคิดว่ารายได้จะมีการเติบโตที่ระดับ 7% qoq โดยมีอัตราการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกันในทุก segment เรายังเห็นว่าอัตรากำไรขันต้นจะสามารถขยายตัวได้อีก 0.4ppt อยู่ในระดับ 30% จากต้นทุนวัตถุดิบทีร่ต่ำลง โดยเฉลี่ยราว 5% qoq โดยเฉพาะน้ํามัน เนย และน้ํามันปาล์ม (โดยทั้งคู่คิดเป็น 20% ของต้นทุนขาย (COGS)) ซึ่งมีส่วนช่วย ลดต้นทุนลงได้เป็นอย่างมากในไตรมาสนี้

ค่าเงินบาทที่ผันผวนและราคาวัตถุดิบถือเป็นความเสี่ยงหลัก

KCG มีการนำเข้าคิดเป็น 50% ของ COGS ในขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลง พร้อมกับกระแสการปรับตัวสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบ จึงถือเป็นความเสี่ยงหลัก ซึ่งเราประมาณการค่าความยืดหยุ่นที่เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง 1% จะทำให้กำไรจากธุรกิจหลักลดลง 0.4% และเรายังเห็นว่าราคาปิโตรูเลียมที่สูงขึ้นจะดึงให้ราคา soft commodities อย่างนำมันปาล์มที่มีการเคลื่อนไหวของราคาไปในทิศทางเดียวกับปิโตรเลียม เนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกัน

DCF-based ราคาเป้าหมาย 12 บาท ความเสี่ยงหลักคือการผันผวนของราคาวัตถุดิบ
เราประเมินราคาหุ้นด้วยวิธี DCF โดยใช้สมมติฐาน WACC ที่ 8.2% และ terminal growth 3.5% เราชอบความเป็นผู้นําด้านผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกในประเทศของ KCG และกลยุทธ์การเติบโตด้วยนวัตกรรม ราคาหุ้นซื้อขายกันในระดับ P/E ที่ไม่แพงนักอยู่ที่ 17.4 เท่าของปี FY24F แต่ยังคงมีความท้าทายมากมายที่รออยู่ข้างหน้า รวมถึงการจัดการผลกระทบจากเงินบาทอ่อน

- Advertisement -