บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
KCE Electronics (KCE.BK/KCE TB)*
ประมาณการ 3Q66: กำไรจะลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ
Event
เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ KCE ใน 3Q66 จะอยู่ที่ 480 ล้านบาท (-25% YoY, +50% QoQ) โดยจะ
ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของทั้งยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งจะส่งผลให้กำไรจากธุรกิจหลักในงวด 9M66 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท (-38% YoY) และคิดเป็น 68% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา
Impact
คาดว่ายอดขายจะดีขึ้น หลังจากที่การลดสต็อก (inventory destocking) ผ่านไปแล้ว
เนื่องจาก i) การลดสต็อกจบรอบไปแล้ว และ ii) ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใน EU 8 เดือนของปีนี้ เติบโต 18% YoY เราจึงคาดว่ายอดขายของ KCE จะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่สามเป็น 4.3 พันล้านบาท (-6% YoY, +12% QoQ) แต่หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ยอดขายใน 3Q66 จะอยู่ที่ 124 ล้านดอลลาร์ฯ (-3% YoY, +9% QoQ) ซึ่งจะทำให้ยอดขายในงวด 9M66 อยู่ที่ 357 ล้านดอลลาร์ฯ (-11% YoY) และคิดเป็น 73% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา
อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะดีขึ้น QoQ
เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตดีขึ้น QoQ เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และราคาทองแดงปรับตัวลดลง (ราคาทองแดงเฉลี่ยปรับตัวลง 5% QoQ ใน 2Q66 และ 1% QoQ ใน 3Q66 เราจึงมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มจะดีขึ้น โดยเราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 3Q66 จะอยู่ที่ 22% (2.3ppts YoY,+2.9ppts QoQ) ใกล้เคียงกับช่วงเป้าหมายของบริษัทใน 2H66F ที่ 22-24% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 9M66 อยู่ที่ 20.3% (-3ppts YoY) จากสมมติฐานเต็มปีของเราที่ 21.3%
จับตาการฟื้นตัวของยอดขายและอัตรากำไร
เรายังคงคาดว่ากำไรของ KCE จะเติบโต Hot จากการฟื้นตัวของทั้งยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น เราคาดว่ากำไรของ KCE จะเพิมขึ้น QoQ ใน 4Q66 แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโต YoY จะขึ้นอยูกับว่าอัตรากำไรดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน ผู้บริหารตั้งเป้าอัตรากำไรไว้ค่อนข้างสูงในช่วง 22-24% ใน 2H66 และ 26-27% ในปี 2567F จาก 19.4% ใน 1H166 ในขณะที่ตั้งเป้าว่ายอดขายจะหดตัว 5% ในปี 2566 (เราใช้สมมติฐานที่ -7%) และกลับมาขยายตัว 5-10% ในปี 2567 (เราใช้สมมติฐานที่ +7%) เราแนะนำให้นักลงทุนจับตาดูการฟื้นตัวในไตรมาสที่สาม ซึ่งจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงแนวโน้มใน 4Q66 และปี 2567
Valuation & action
เรายังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 49.00 บาท อิงจาก PER ที่ 29.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต +0.5 S.D.) และ
ยังคงคำแนะนำถือ KCE
Risks
ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลน
วัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2566-67 ที่ 33.80 บาท/ดอลลาร์ฯ)