บล.ฟิลลิป:

พริมา มารีน – PRM ปีนี้ปรับฐานปีหน้ากลับมาโต

ปีนี้ธุรกิจหลัก FSU ปรับฐานจากอุตสาหกรรมมีความต้องการจัดเก็บน้ำมันลดลง

ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน (FSU) ที่เป็นดาวเด่นในปี 2563 มีรายได้คิดเป็น 55% และทำกำไรได้ดีสุด ปีนี้ปรับฐานหลังความต้องการในการจัดเก็บน้ำมันลดลงจากผลของ COVID-19 ที่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในแถบเอเซียลดลง รวมถึง Trader คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในอนาคตจะต่ำกว่าในปัจจุบัน (backwardation) ทำให้ค่าเช่าจัดเก็บน้ำมันลดลงราว 15-20% หลังหมดสัญญาใน 1Q64 และอตัราการใช้เรือ (URate) ลดลงจาก 100% เหลือ 81% ทำให้สัดส่วนรายได้ใน 2Q64 ลดลงเป็น 41% ประกอบกับราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 60.8% ใน 2Q63 เหลือ 44% ใน 2Q64 อีกทั้งราคาเหล็กปรับตัวขึ้นมาก PRM จึงตัดสินใจขายเรือ FSU ไป 2 ลำ บันทึกกำไรเข้ามาใน 2Q64 ท่ี 189 ล้านบาท ภาพใน 2H64FSU กำไรจะอ่อนตัวลง h-h และ y-y

คาดกำไรครึ่งปีหลัง 2564 จะอ่อนกว่า h-h และ y-y

ใน 2H64 จะรวมงบ TM เต็ม 6 เดือน แต่ต้องปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร มุมมองธุรกิจใน 2H64 มีดังนี้

1) ธุรกิจขนส่งในประเทศ การใช้น้ำมันในประเทศยังต่ำจากผลของ COVID-19 โดยเฉพาะน้ำมันเครื่องบินที่ขนส่งไปภาคใต้ลดลง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีกำไรดี จึงวิ่งเรือในระยะทางสั้นที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า

2) ธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ คาดฟื้นตัวจาก 2Q64 จากเรือ VLCC ขนาดบรรทุก 3.14 แสนตัน ท่ีเข้ามา 1 ลำในเดือน พ.ค. แต่เรือเดิม Aframax ยังวิ่ง Spot rate อาจยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันอยู่

3) ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียม กลางทะเล (Offshore) มีแนวโน้มจะดีกว่า 1H64 จากเรือ AWB (เรือพักอาศัย) เข้างานเต็มจาก 1Q64 ที่ไม่มีงาน และยังมีเรือ Crew Boat จาก TM เข้ามา 13 ลำ ซึ่งมี U Rate ที่ดีขึ้นเป็น 90% จาก 60- 70% คาดสิ้นปีจะเต็ม 100% และมีให้บริการไปที่มาเลเซียและ

4) ธุรกิจบริหารเรือมีเรือเพิ่มอีก 2 ลำเป็น 4 ลำ และได้ธุรกิจใหม่ ship agent ในการเป็นตัวแทนสายเดินเรือติดต่อกับท่าเรือและหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นรายได้แหล่งใหม่ โดยภาพรวมคาดว่า 2H64 กำไรจะอ่อนตัวลงจาก 1H64 ท่ียังได้ประโยชน์จาก FSU ใน 1Q64 และมีกำไรขายเรือ 189 ล้านบาท และลดลง y-y จากปีก่อน FSU ยังมีค่าบริการที่สูง

ปี 2565 จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังปรับ TM ได้สำเร็จ และอุตสาหกรรมฟื้นตัว

ปี 2565 คาดว่าจะฟื้นตัวเกือบทุกธุรกิจ

  1. ขนส่งในประเทศ (เรือเล็ก) คาดว่าจะฟื้นตัวจาก COVID-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันกลับมาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันครื่องบิน ท่ีคาดจะมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว รวมถึงเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ไปในต่างประเทศขนส่งน้ำมันประเภทอื่นและเคมีภัณฑ์
  2. ขนส่งระหว่างประเทศ (เรือใหญ่) จะมีการรับเรือ VLCC เข้ามาอีก 2 ลำใน 1H65 และ 2H65 ตามสัญญาของ TOP จะมีเรือ 4 ลำ อัตราการบรรทุกรวมจาก 4.14 แสนตันเป็น 1.02 ล้านตันโดยเรือ VLCC จะมีสัญญากับ TOP เป็นเวลา 10 ปี
  3. ธุรกิจเรือขนส่งท่ีให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล ( Offshore) เรือ AWB มีระยะเวลาการทำงานที่ยาวกว่าปีก่อนจากสัญญา 2 ปี และ Crew Boat จะมี U Rate ที่ดีตลอดปี จากกิจกรรมขุดเจาะสำรวจในอ่าวไทยท่ีจะเพิ่มขึ้น
  4. ธุรกิจ Ship Agent จะรุกงานมากขึ้น และรับรู้เรือใหม่ที่บริหารต็มปีและ
  5. FSU คาดค่าบริการจะทรงตัว

ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2565 อยู่ที่ 8.70 บาท

ยังคงคาดการณ์กำไรปี 2564 ที่ 1,344 ล้านบาท -14.4% y-y จากธุรกิจ FSU ที่ถดถอย และยังอยู่ในการปรับการทำกำไรให้กับ TM และปี 2565 คาดกำไรที่ 1,460 ล้านบาท +8.6% y-y จากการรับรู้ TM เต็มปี โดยยังไม่รวมแผนการขยายกองเรือ ปรับราคาพื้นฐานเป็นปี 2565 ท่ี 8.70 บาท อิง P/E เฉลี่ยท่ี 14.90 เท่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง

1. การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานของตลาดการขนส่งที่รวดเร็วและรุนแรง
2. เปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
3. กฎหมายสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยทางทะเล

- Advertisement -