บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Euroasia Total Logistics (ETL) หุ้นขนส่งข้ามพรมแดนเบอร์หนึ่งของประเทศ

Action  N.A.

  • TP upside (downside) +36.9%
  • IPO Price (THB) 1.68
  • 12M Target (THB) 2.30

เครือข่ายกว้างขวางให้บริการขนส่งข้ามพรมแดนถึงกว่า 9 ประเทศ

ETL เป็นบริษัทลูกของ บมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางเรือ และการขนส่งทางบก

ธุรกิจหลักของ ETL คือการให้บริการขนส่งทางบกข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ (Cross Border Service) ด้วยการขนส่งทางรถบรรทุก ทั้งในรูปแบบเต็มคันรถ ไม่เต็มคันรถ โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์แบบปกติและแบบควบคุมอุณหภูมิ และการขนส่งทางรถไฟระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการให้บริการด้านพิธีการศุลกากร ณ ด่านชายแดนระหว่างประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาและว่าจ้างขนส่งแบบเหมาเที่ยวกับบุคคลภายนอก (Outsource) ซึ่งประกอบไปด้วย รถลากจูง รถพ่วง และตู้คอนเทนเนอร์ประเภทต่างๆ ที่เหมาะสมตามที่ลูกค้า

ขอบเขตการรับผิดชอบและเส้นทางการขนส่งสินค้าของบริษัทในปัจจุบันประกอบด้วยประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม

คาดผลประกอบการจะเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ 2566 เป็นต้นไป

แม้ในปี 2564 บริษัทจะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 106 ลบ. ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนอุปทานในการขนส่งระหว่างประเทศ ด้วยผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 จำนวนเที่ยวบินโดยสารที่ลดลง รวมถึงปัญหาการขาดแคลนตูคอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งทางเรือ ทำให้ปริมาณการขนส่งทางบกได้อานิสงส์เชิงบวกและปรับตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ถัดมาในปี 2565 บริษัทรายงานกำไรที่ 58 ลบ. สถานการณ์การ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายทำให้จำนวนเที่ยวการขนส่งของบริษัทปรับตัวลดลง -13.2% YoY อยู่ที่ 1.56 หมื่นเที่ยว แม้กิจกรรมการขนส่งจะเป็นการปรับระดับเข้าสู่สภาวะปกติแต่ยังเติบโตจากปี 2563 ที่ 1.10 หมื่นเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับผลประกอบการช่วง 1H66 บริษัทมีกำไรปกติ 30 ลบ. แต่เราประเมินแนวโน้มกำไร 2H66 จะเติบโตขึ้น 43% HoH อยู่ที่ 43 ลบ. ด้วยสาเหตุหลักคือการเข้าสู่ช่วง High Season ของอุตสาหกรรมขนส่งระหว่างประเทศ  และการเข้าสู่วัฏจักรเร่งเติมสินค้าคงคลังของผู้ประกอบการ (Restocking) จากระดับสินค้าคงคลังของเศรษฐกิจมหาอำน้าจอย่างสหรัฐฯ ที่ทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี

แผนการใช้เงินจากการระดมทุนจะช่วยต่อยอดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทมีแผนที่จะนำเงินที่ได้จาก IPO ไปใช้ในการขยายธุรกิจ คือ เพิ่มยานพาหนะ เพิ่มตู้คอนเทนเนอร์แบบดั้งเดิมและแบบควบคุมอุณหภูมิ และลงทุนในระบบการบริหารจัดการการขนส่ง เราคาดปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณการขนส่งของบริษัทเร่งตัวขึ้นเป็น 1.67 หมื่นเที่ยว และ 1.81 หมื่นเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้กำไรปกติเติบโตขึ้นเป็น 96 ลบ. (+31.7% YoY) และ 117 ลบ. (+22.0% YoY) ในปี 2567-68 ตามลำดับ

ประเมินมูลค่าเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 2.30 บาท/หุ้น

อิงคาดการณ์กำไรปกติปี 2567 ที่ 96 ลบ. และจำนวนหุ้นหลัง IPO ที่ 620.00 ล้านหุ้น EPS67 จะอยู่ที่ 0.16 บาท/หุ้น เราประเมิน PER เหมาะสมที่ 14.55x โดยการใช้ค่ากลาง (Median) ของบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำทั่วโลกที่มีธุรกิจขนส่งข้ามพรมแดนจำนวน 11 ราย ได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 2.30 บาท/หุ้น ซึ่งคาดเป็นระดับที่อนุรักษ์นิยม เนื่องจากหากนำแนวโน้มการเติบโตมาคิดคำนวนอัตราส่วน PEG Ratio สำหรับปี 2567 จะอยู่ที่เพียง 0.45x ต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมขนส่งในประเทศไทย

Valuation

เราใช้วิธี PE Ratio ในการประเมินมูลค่าหุ้นของ ETL โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 ที่ระดับ 2.30 บาท/หุ้น คาดกำไรปกติปี 2566 และ 2567 ที่ 73 ลบ. (+26.1% YoY) และ 96 ลบ. (+31.7% YoY) ตามลำดับ อิงสมมติฐานสำคัญ ดังนี้

  1. คาดจำนวนเที่ยวการขนส่งแบบ Full Truck Load (FTL) สำหรับปี 2566 และ 2567 ที่ 1.5 หมื่นเที่ยว (-1.0% YoY) และ 1.5 หมื่นเที่ยว (+9.0% YoY) ตามลำดับ และแบบไม่เต็มคันรถ Less than Truck Load (LTL) สำหรับปี 2566 และ 2567 ที่ 314 เที่ยว (+5.3% YoY) และ 346 เที่ยว (+10.4% YoY) ตามลำดับ ซึ่งเรามองว่าเป็นคาดการณ์แบบอนุรักษ์นิยม เมื่อเทียบมูลค่าการขนส่งข้ามพรมแดนในช่วงปี 2561-2565 ที่มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่สูงถึง 11.9%
  2. อิงสมมติการเติบโตของรายได้จากการให้บริการขนส่งเฉลี่ยต่อเที่ยวสำหรับ FTL และ LTL ที่ 2.0% ต่อปีเทียบเท่ากับเป้าหมายเงินเฟ้อระยะกลาง-ยาวของธนาคารแห่งประเทศไทย จากข้อมูลข้างต้นเราประเมินรายได้ปี 2566 และ 2567 ที่ 1.6 พันลบ. และ 1.9 พันลบ. ตามลำดับ
  3. คาด GPM ในปี 2566 และ 2567 ที่ 14.8% และ 14.5% ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 14.1% ในปี 2565 จากอุปสงค์ในการขนส่งข้ามพรมแดนที่สูง (Pent-up Demand) หลังการเปิดประเทศของจีนและการขนส่งแบบตู้เก็บความเย็นจะช่วยหนุน GPM ในปี 2566 สำหรับปี 2567 คาดสถานการณ์การขนส่งปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติก่อนเกิด COVID-19 อย่างไรก็ตาม ด้วย Economy of scale และสัดส่วนของ LTL และการขนส่งแบบตู้เก็บความเย็นที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราคาด GPM จะอยู่ที่ 14.5% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2564-65 ที่ 13.6%
  4. คาด SG&A ในปี 2566 และ 2567 ที่ 139 ลบ. และ 156 ลบ. คิดเป็นอัตราส่วน SG&A/Sales ที่ 8.6% และ 8.2% ตามลำดับ ลดลงจากปี 2565 ที่ 8.9% จากสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็น Fixed expense เช่นค่าจ้างพนักงานประจำ ขณะที่ค่าใช้จ่ายของพนักงานขับรถแบบ Outsource จะถูกบันทึกอยู่ในต้นทุน

เราประเมินมูลค่าเหมาะสม ณ ปี 2567 ที่ระดับ 2.30 บาท/หุ้น จากกำไรที่ 96 ลบ. คิดเป็น EPS2567 บนจำนวนหุ้นหลัง IPO ที่ 620,000,000 หุ้นที่ 0.16 บาท อิง PER ที่ 14.55x ซึ่งเป็นค่ากลาง (Median) ของบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำทั่วโลกที่มีธุรกิจขนส่งข้ามพรมแดนจำนวน 11 ราย (ใช้ค่ากลางเพื่อตัดความผิดปกติของข้อมูล เช่น Blue Dart Express Ltd. ซึ่งอาจทำให้ค่าเฉลี่ยสูงเกินความเป็นจริง)

นอกจากนี้ ค่า PER2567 ที่ระดับ 14.55% คิดเป็น PEG Ratio สำหรับปี 2567 ที่เพียง 0.45 จึงเป็นระดับที่เรามองว่าอยู่ในเกณฑ์อนุรักษ์นิยม

 

- Advertisement -