KS Daily View 06.11.2023 >>> มองดอกเบี้ยสหรัฐฯ ถึงจุดสูงสุด ตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ชะลอตัว คาดดัชนีแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,400-1,425 จุด หุ้นแนะนำ BA, OR
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน
ต่างประเทศ: ดัชนีDJIA +0.66%, S&P 500 +0.94%, NASDAQ +1.38%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Real Estate (+2.35%), Materials (+1.55%), Communication services (+1.39%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่Energy (-1.01%) เป็นต้น
ในประเทศ: SET Index +15.77 จุด หรือ+1.12% ปิดที่ 1,419.76 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ GPSC (+7.41%), VGI (+5.88%), AAV (+5.32%), IRPC (+5.10%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่INTUCH (-2.86%), ERW (-0.96%), SABUY (-0.92%), AP (-0.90%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,400 – 1,425 จุด ในวันนี้ โดยรวมยังได้ Sentiment เชิงบวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวลดลงอีก 9bps สู่ระดับ 4.57% หลังตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และอัตราการว่างงานออกมาต่ำคาด หนุนมุมมองว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯถึงจุดสูงสุดแล้ว
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงต่ออีก -2.3% DoD เป็น US$84.89/bbl เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากตลาดยังคงอยู่ในภาวะที่กังวลด้านอุปสงค์มากกว่าอุปทาน โดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยล่าสุดทาง Bloomberg รายงานตัวเลขอุปสงค์สำหรับ naphtha คาดหดตัวกว่า 25% จากระดับปี 2021 ไปที่ 8.44 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 48 ปี นอกจากนี้อุปสงค์สำหรับดีเซลในยุโรปก็ส่งสัญญาณหดตัวมากกว่า 10% ใน 3Q23 ด้วย ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาแล้ว -4% นับจากวันที่ 9 ต.ค. หลังเหตุการณ์ฮามาสบุกอิสราเอลสะท้อนตลาดไม่ได้กังวลสถานการณ์มากเท่าปี 2565 ที่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อ 24 ก.พ. แล้วราคาน้ำมันดิบพุ่งไปกว่า30%
2.) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. อยู่ที่ 150,000 ตำแหน่ง อ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดไว้ 178,000 ตำแหน่ง จนถึงขณะนี้NFP โดยเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 240,000 ตำแหน่ง/เดือน เทียบกับเกือบ 400,000 ตำแหน่ง/เดือน ในปีที่แล้ว ขณะที่อัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้นจาก 3.8% เป็น 3.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน นับเป็นอัตราการว่างงานสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2565 นอกจากนี้พบว่ารายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงในเดือน ต.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% MoM และ 4.1% YoY ลดลงจาก 4.3% YoY ในเดือนก.ย. ตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอหนุนตลาดหุ้น และพันธบัตรฟื้นตัวบนมุมมองว่าดอกเบี้ยพีคไปแล้ว
3.) ผู้ว่าการ ททท. บอกว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างศึกษาว่าจะมีการเปิด VISA Exemption (วีซ่าฟรี) หรือขยายวันพำนักแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มเติมอีก สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมในช่วง 10 เดือนแรก (1 ม.ค.-31 ต.ค. 2566) มีจำนวนรวม21,882,227 คน สร้างรายได้ 963,142.94 ล้านบาท
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,400 – 1,440 จุด หนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงบนโอกาสที่เฟดจะกลับลำลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นเป็นกลางปี 2024 ที่ 100bpsจากเดิมที่ 75bps. ขณะที่ราคาน้ำดิบลดลงสะท้อนตลาดคลายกังวลสงครามอิสราเอล-ฮามาส โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่
1.) ถ้อยแถลงของประธานเฟด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด
2.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงิน USD ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนทิศทาง Fund flow
3.) สถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส
4.) รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องวงเงินดิจิตอลวอลเล็ตในวันที่ 10 พ.ย.
5.) ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. (เบื้องต้น) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ของจีน อาทิ ตัวเลขการส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต เป็นต้น
หุ้นแนะนำวันนี้
Top pick:
BA (ราคาพื้นฐาน 22.16 บาท) คาดกำไรแข็งแกร่งในไตรมาส 3/2566 ที่ 2 พันลบ. เพิ่มขึ้น 193% QoQ และเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 393 ลบ.ในไตรมาส 3/2565 จากช่วงไฮซีซันของเกาะสมุย การบริหารจัดการ route บินทำให้ค่าตั๋วเฉลี่ยดีขึ้น และกำไรทางภาษีรอการตัดบัญชีจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน BDMS จำนวน 1.3 พันลบ. ทั้งนี้ประเมินหากราคาน้ำมันลดลงทุกๆ US$5/bbl จะหนุนกำไร BA เพิ่ม 5% ต่อปี ราคาหุ้น BA ลดลง -15% เทียบ SET Index ที่ลดลง -10% ในช่วงเดียวกันนับแต่สิ้นเดือน ส.ค. 2566
OR (ราคาพื้นฐาน 19.60 บาท) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ 3.9 พันลบ. เพิ่มขึ้น YoY, QoQ จากกำไรสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ไตรมาส 4/56 คาดกำไรสุทธิยังเติบโต YoY จากค่าการตลาดน้ำมันที่ฟื้นตัว โดย สนพ. รายงานค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกโดยรวมที่ดีขึ้น 0.15 บาท/ลิตร จากเดือนก่อนหน้า เป็น 2.55 บาท/ลิตร ในเดือน ต.ค. เทียบไตรมาส 4/65 ที่ 2.05 บาท/ลิตร ขณะเดียวกันปริมาณการขายน้ำมันมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกจากปัจจัยตามฤดูกาลในไตรมาส 4/2566 ทั้งนี้ราคาหุ้น OR ลดลง -9.5% พอๆกับ SET Index ที่ลดลง -10% ในช่วงเดียวกันนับแต่สิ้นเดือน ส.ค. 2566