บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Banpu Power (BPP) กำไร 3Q66 เด่นจากการเกิด Heat Wave ในสหรัฐฯ

Action TRADING (Maintain)

  • TP upside (downside) +9.6%
  • Close Nov 3, 2023 Price (THB) 14.60
  • 12M Target (THB) 16.00
  • Previous Target (THB) 16.10

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 3Q66 ที่ 2,091 ล้านบาท เติบโต YoY และ QoQ รวมถึงทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส แม้มีการปิดซ่อมบางส่วนของโรงไฟฟ้าหงสา หลังได้แรงหนุนจากการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II และการเกิดคลื่นความ ร้อนในสหรัฐฯ
  • ปรับกำไรปี 2566 เป็น 4,747 ล้านบาท หลังอัตราการทำกำไรของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ สูงกว่าคาด แต่ปรับกำไรปี 2567 ลงเป็น 3,643 ล้านบาท จากต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น

Our view

  • เบื้องต้นคาดกำไร 4Q66 ที่ระดับ 700-800 ล้านบาท เติบโต YoY จากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่และต้นทุนถ่านหินจีนที่ปรับตัวลง แต่ลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ
  • ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 16.00 บาท/หุ้น มี Upside +9.6% ในระยะสั้นหุ้นมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ดีกว่ากลุ่มจากงบ 3Q66 ที่เติบโตทั้ง YoY และ QoQ แต่ในระยะกลางคาดหุ้นยังมีโอกาสถูกกดดันจาก Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

กำไร 3Q66 มีโอกาสทำ New High หลังได้แรงหนุนจากการเกิด Heat Wave

คาดกำไรปกติ 3Q66 ที่ 2,091 ล้านบาท เติบโต +69% YoY และ +81% QoQ และทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส แม้มีการปิดซ่อมบางส่วนของโรงไฟฟ้าหงสา (ปิดซ่อม 1 หน่วย) เพราะได้แรงหนุนจาก 1) คาดการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II ในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2566 และการเกิดคลื่นความร้อนในสหรัฐฯ ในช่วง 2Q-3Q66 ทำให้รายได้รวมขยายตัว +214% YoY และ +434% QoQ รวมถึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 3Q66 สามารถขยายตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 37.0% เทียบกับ 10.9% ใน 3Q65 และ 17.4% ใน 2Q66 2) คาดต้นทุนถ่านหินในจีนที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง ทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า SLG เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 35 ล้านบาท เทียบกับส่วนแบ่งขาดทุน -1 ล้านบาทใน 3Q65 และส่วนแบ่งกำไร 9 ล้านบาทใน 2Q66 และ 3) คาดส่วนแบ่งขาดทุนจาก BNEXT ที่ -50 ล้านบาท (เทียบกับ -258 ล้านบาทใน 3Q65 และ -33 ล้านบาทใน 2Q66) หลังธุรกิจแบตเตอรี่ (Durapower) เริ่มพลิกเป็นกำไร

ปรับกำไรปี 2566 ขึ้นแต่ปรับกำไรปี 2567 ลง

หากกำไรปกติ 3Q66 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติ 9M66 จะคิดเป็นสัดส่วน 118% ของประมาณการเดิม เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้น 38% เป็น 4,747 ล้านบาท (+69% YoY) เพื่อสะท้อนอัตราการทำกำไรของโรงไฟฟ้า Temple I และ II ที่สูงกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้ามาก (ผลจากการเกิดคลื่นความร้อนในสหรัฐฯ) อย่างไรก็ตามเราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลงราว -17% เป็น 3,643 ล้านบาท (-23% YoY) เพื่อสะท้อนต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นหลังการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้า Temple II และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

กำไร 4Q66 มีแนวโน้มเติบโต YOY แต่ลดลง QoQ

เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q66 ที่ระดับ 700-800 ล้านบาท เติบโต YoY แม้มีการปิดซ่อมโรงไฟฟ้าหงสา 2 หน่วย (หน่วยที่ 2 ปิดซ่อมบำรุงราว 20 วัน และหน่วยที่ 3 เริ่มปิดซ่อมบำรุงตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ฐ.ค. – ต้นเดือน ม.ค.) หลังได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II ในสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นตัวของอัตราการทำกำไรของโรงไฟฟ้า CHP ในจีนหลังต้นทุนถ่านหินจีนปรับตัวลง YoY (ผลจากการเพิ่มจำนวนเหมืองถ่านหินของรัฐบาลจีน) ขณะที่ QoQ คาดกำไรปกติลดลงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ รวมถึงการไม่มีคลื่นความร้อนเหมือนใน 3Q66 ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯในช่วง 4Q66 มีแน้วโน้มลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15.0-20.0%

คงคำแนะนำ “TRADING”

ผลจากการปรับประมาณการและการปรับ WACC ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 8.4% รวมถึงการปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ส่งผลให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 16.00 บาท/หุ้น มี Upside เพียง +9.6%ในระยะสั้นคาดหุ้นมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ดีกว่ากลุ่มฯ จากแนวโน้มกำไร 3Q66 ที่มีโอกาสเติบโต YoY และ QoQ (คาดรายงานงบวันที่ 10 พ.ย.) อย่างไรก็ตามระยะกลางคาดหุ้นยังมีโอกาสถูกกดดันจาก Bond Yield ระยะ 10 ปีของไทยและสหรัฐฯ ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่พื้นตัว (กดดันความต้องการใช้ไฟฟ้าในจีน) จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

- Advertisement -