บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Thai Union Group (TU) 4Q66 Outlook ยังฟื้นได้ต่อ … 1Q67 กลับมาเติบโต YoY

Action BUY (Maintain)

  • TP upside (downside) +26.2%
  • Close Nov 7, 2023 Price (THB) 14.10
  • 12M Target (THB) 17.80
  • Previous Target (THB) 15.90

What’s new?

  • คาดแนวโน้มผลประกอบการ 4Q66 มีโอกาสทรงตัว YoY และเติบโตต่อ QoQ ทำระดับสูงสุดของปี จากการ Restocking ของลูกค้าหนุนปริมาณขายให้ฟื้นตัว
  • ปี 2567 คาดกำไรกลับมาเติบโตได้ YoY และคาดมีโอกาสที่จะเห็นการเติบโต YoY ได้ทุกไตรมาสหลังจากประเด็นกดดันในช่วงก่อนหน้าคลี่คลาย

Our view

  • ด้วยกำไร 3Q66 ที่ออกมาดีกว่าคาดมาก เราจึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2566 ขึ้น 28% แต่ยังคงประมาณการปี 2567 ไว้ตามเดิม
  • เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ทำให้ราคาเป้าหมายถูกปรับขึ้นเป็น 17.80 บาท มี Upside gain % ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER67 เพียง 10.7 เท่า เทียบเท่ากับ -0.5 SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”

แนวโน้มกำไร 4Q66 คาดฟื้นตัวต่อ QoQ ทำระดับสูงสุดของปี

เราคาดแนวโน้มกำไร 4Q66 ของ TU เบื้องต้นในกรอบ 1,700 – 1,900 ลบ. มีโอกาสทรงตัว YoY และเติบโตต่อ QoQ ได้ต่อเนื่องทำระดับสูงสุดของปี แม้จะผ่านพ้นปัจจัยฤดูกาลปกติที่เป็นช่วง High Season ไปแล้ว แต่เนื่องจากลูกค้าเพิ่งเริ่ม Restocking สินค้าในช่วง 3Q66 หลังระดับสินค้าคงคลังเริ่มลดลงกลับสู่ระดับปกติ ทำให้คาดปริมาณขายจะทยอยฟื้นตัว QoQ ได้ต่อในทุกธุรกิจสวนทางปัจจัยฤดูกาล โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดจะเติบโตเด่น นอกจากนี้ราคาต้นทุนปลาทูน่า, แซลม่อน และกุ้งที่ปรับลดลง ทำให้เราคาดจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยสินค้ากลุ่ม OEM อาจปรับลดลงทำให้ GPM คาดชะลอลงเล็กน้อย QoQ แต่จะชดเชยได้จากปริมาณขายที่จะสูงขึ้น (ราคาขายลดลง ลูกค้ามีกำลังซื้อมาขึ้น) ขณะที่ส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster คาดทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อย QoQ ที่ +/- 350 ลบ.

ปี 2567 ปัจจัยกดดันคลี่คลาย … แต่ยังต้องติดตามปัจจัยด้านมหภาค

เราคาดแนวโน้มผลประกอบการในปี 2567 จะพลิกกลับมาเติบโต YoY ได้อีกครั้งหลังปัจจัยกดดันต่างๆที่เกิดขึ้นในปี 2566 คลี่คลาย อาทิ 1) ระดับสินค้าคงคลังของลูกค้าที่คาดจะลดลงกลับสู่ระดับปกติ และ 2) ราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักโดยเฉพาะทูน่าคาดปรับลดลง โดยบริษัทรายงานราคาปลาทูน่าเดือนต.ค. อยู่ที่ 1,600 USD/ตัน จากเฉลี่ยใน 2Q66 และ 3Q66 ที่ 2,000 และ 1,800 USD/ตัน ตามลำดับ ช่วยหนุ่นปริมาณขาย และ GPM โดยเราประเมินว่าผลประกอบการรายไตรมาสมีโอกาสเติบโต YoY ได้ทุกไตรมาสในปี 2567 อย่างไรก็ตามเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 6,252 ลบ. (+10.6% YoY) เพื่อให้ Conservative ต่อปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลกในปี 2567 ที่มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว แม้เราจะมองว่ากลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจะได้รับผลกระทบที่จำกัดก็ตาม

ปรับประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้น และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567

ด้วยกำไรปกติ 3Q66 ที่ออกมาดีกว่าคาดมากทำให้กำไร 9M66 ของเราคิดเป็นสัดส่วน 88.4% ของประมาณการกำไรปกติปี 2566 เดิมของเรา และด้วยแนวโน้มกำไร 4Q66 ที่จะเติบโต QoQ ต่อ เราจึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2566 ขึ้น 25.8% เป็น 5,576 ลบ. (-22.6% YoY) จากการปรับสมมติฐานรายได้ลง 5.0% และส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากบริษัทร่วมลงเป็น -74 ลบ. จากเดิม 100 ลบ. แต่ปรับ GPM ขึ้นเป็น 17.1% จากเดิมที่ 16.6% และคาดบริษัทจะมีเงินได้จากภาษี 550 ลบ.จากที่คาดมีค่าใช้จ่าย 175 ลบ.

ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนภาพการฟื้นตัว … คงคำแนะนำ “ซื้อ”

เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 อิงวิธี SOTP (อิง PER 11.8 เท่าบนธุรกิจหลักของบริษัท และ Holding discount 40% จาก ITC) ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 17.80 บาท มี Upside gain 26.2% เชิงกลยุทธ์ราคาหุ้นปัจจุบันตอบรับเชิงบวกจากงบ 3Q66 ไปแล้วบางส่วน แต่เรามองว่า ณ ระดับราคาปัจจุบันที่ซื้อขายบน PER67 เพียง 10.7 เท่า เทียบเท่ากับ -0.5 SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต ซึ่งสะท้อนวัฎจักรขาลงของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา และยังไม่สะท้อนภาพแนวโน้มผลประกอบการที่จะฟื้นตัวในปี 2567 จึงมองว่าราคาปัจจุบันยังอยู่ในโซนต่ำ คงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

- Advertisement -