ตลาดหุ้นวานน้ี:

SET Index ปิดในแดนลบ 11.13 จุด อ่อนแอกว่าที่ประเมิน โดยถูกกดดันจากความกังวลเรื่องน้ำท่วม รวมถึงแรงขายในกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้า และมี Valuation ที่สูง โดยทางสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 2.1 พันลบ.และ 3.9 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Future สูงถึง 2.6 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้: เราประเมิน SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,610- 1,625 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ขาดปัจจัยบวกใหม่ เราประเมินกลุ่มพลังงาน และธนาคารจะยังเป็นกลุ่มหลักที่ประคองดัชนี พาวเวลระบุว่าเงินเฟ้ออาจสูงและยาวนานกว่าที่ประเมิน ก่อนกลับสู่ระดับเป้าหมายท่ี 2% ส่งผลให้ราคา Commodity รวมถึงราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ Bond Yield ที่ปรับขึ้น ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การประชุม กนง. ในวันพุธนี้ ว่าจะเสียงแตกลดดอกเบี้ยหรือไม่ รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วม ที่แม้ปัจจุบันคาดว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับปี 2011 หากพิจารณาจะปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่ต่ำกว่ามาก แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กลยุทธ์ยังแนะนำ “ถือลงทุน” หลังให้สะสมหุ้นเพิ่มไปแล้วบริเวณ 1,600 จุด และยังชอบกลุ่ม Domestic และ Reopening Play ได้แก่ กลุ่ม ธนาคาร โรงกลั่น ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว ซึ่งจะได้อานิสงส์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 4Q21-2022

กลยุทธ์: เน้นเก็งกำไรหุ้นเป็นรายตัว// ส่วนที่สะสมเพิ่มบริเวณ 1,600 จุด เน้นถือลงทุนต่อเนื่อง

หุ้นเด่นเดือนก.ย.: BDMS,CPALL,CRC,M,TACC

หุ้นเด่นวันนี้: TKS

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17.90 บาท
  • ราคาหุ้นยังทรงตัวบริเวณ 12 บาท ได้แข็งแรง ระยะสั้นคาดกำไร 4Q21 จะได้อานิสงส์จากส่วนแบ่งกำไร SYNEX ที่เข้า High Season และคาดจะได้ประโยชน์จากภาครัฐที่คาดออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายปลายปี
  • เรามอง Valuation TKS ยังอยู่ในโซนถูก ปัจจุบันยัง Discount จาก NAV ของ SYNEX เกือบ 40% และยังไม่รวมมูลค่าการลงทุนใน SABUY ที่จะเข้าถือหุ้น 9.68% สิ้นปีน้ี รวมถึงธุรกิจโรงพิมพ์ของ TKS
  • แนวรับ 12//11.60 บาท แนวต้าน 12.50-12.70 บาท

Fund Flow:

วันนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคอีก US$513 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้และไต้หวัน US$325 ล้าน และ US$304 ล้าน ตามลำดับ ส่วนตลาดอาเซียนค่อนไปในทางไหลออก นำโดยไทย US$117 ล้าน มีเพียงอินโดนิเซียที่ไหลเข้า แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดเบาบางลง โดยยังขาดปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจน ประเด็นที่ต้องติดตามคือเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจสูงและยาวนานกว่าคาด รวมถึงปัญหาหนี้ของ Evergrande

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ศบค.คลาย Lockdown เฟส 2 เริ่ม 1 ต.ค.ประเด็นๆ หลักๆ อยู่ที่การลดเวลาเคอร์ฟิวป็น 4 ทุ่ม – ตี 4 ทำให้ ขยายเวลาเปิดห้าง ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารได้เป็น 3 ทุ่ม รวมถึงให้เปิดโรงหนัง สปา สระว่ายน้ำ ฟิตเนสได้ ส่วนท่องเที่ยวผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย แต่กำหนดพื้นที่สีฟ้า โดยรวมเป็นบวกมากขึ้นต่อ กลุ่มค้าปลีก CPN CRC CPALL ร้านอาหาร M ZEN AU OISHI และ SPA MAJOR BEM ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวเป็นบวกอ่อนๆ ต่อ AAV BA AOT BAFS ERW CENTEL

(+) GULF เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาว เป็นผู้นำในกลุ่ม Infrastructure ทั้งไฟฟ้า และเทคโนโลยีไทยจาก Synergy ภายในกลุ่ม GULF- INTUCH-ADVANC-THCOM โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จาก Big Data จากฐานลูกค้าในมือของ ADVANC กว่า 40 ล้านราย ล่าสุดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่าง JV AISCB ซึ่ง GULF ได้ประโยชน์ทางอ้อมผ่านการถือหุ้น INTUCH ซึ่งได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น ส่วน Smart Grid และ Meter คาดเป็นโอกาสในการเติบโตระยะยาว ราคาเป้าหมาย 47 บาท แนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)

(0) ICHI คาดกำไร 3Q21 ถกู กระทบจาก COVID-19 ทั้งรายได้และกำไร แต่คาดกลับมาฟื้นตัวใน 4Q21 เป็นต้นไป เครื่องดื่ม CBD คาดออกได้อย่างรวดเร็วใน 1Q22 โดยรอผลิตกัญชงจาก RBF ลูกค้า OEM อาซาฮีเลื่อนเป็นปี 2022 ส่วนความเสี่ยงน้ำท่วมผู้บริหารมั่นใจว่าโรงงานโรจนะน่าจะไม่กระทบ นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่าอยู่ระหว่างลงทุนในธุรกิจใหม่ เบื้องต้น ยังคงประมาณการกำไรปี 2021-2022 +26% Y-Y และ +10% Y- Y ยังคงราคาเป้าหมาย 12.50 บาท แนะนำ “เก็งกำไร”

(0) SFLEX คาดกำไร 3Q21 -8% Q-Q, +5% Y-Y ถูกกระทบจาก COVID-19 รวมถึง Margin ถูกกดดันจากค่าขนส่ง และบาทอ่อนค่า เราปรับประมาณการกำไรปี 2021-2022 ลงเป็น +10% Y-Y และ +34% Y-Y ตามลำดับ เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 7.20 บาท ให้สะท้อนกำไรที่จะผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q21 ก่อนทยอยฟื้นตัว และได้ประโยชนเ์ต็มปีจากการขยายกำลังการผลิตต้นปี 2022 แตยังไม่รวมดีลการลงทุนในเวียดนาม และบจ.ไทยยูเนี่ยน กราฟฟิกส์ รวมถึงหุ้นใหม่จาก SFLEX-W1 และ SFLEX- W2 ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 71.37 จุด หรือ 0.21% ปิดท่ี 34,869.37 จุด หนุนจากหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ หลังมีรายงานยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันในสหรัฐอยู่ที่ 120,000 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงจากค่าเฉลี่ย 7 วันในต้นเดือน ก.ย. ท่ี 166,000 ราย รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับขึ้น 1.8% ในเดือนส.ค. สูงกว่านักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% และเพิ่มขึ้น 0.5%ในเดือนก.ค.

(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กนอ้ยจากปรับลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลาง, ผลกระทบจากปัญหาด้านการเงินของ Evergrande และภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

(-) ตลาดเอเชียปรับลง จากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รวมถึงกังวลเกี่ยวกับปัญหา Evergrande ขณะที่ติดตามออสเตรเลียรายงานยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ในเช้าน้ี

(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.64 บาท/ดอลลารส์หรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 75.45 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก หนุนการเร่งซื้อของอุปสงค์น้ำมัน ขณะที่นักลงทุนติดตามการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันของโอเปคพลัสในวันที่ 4 ต.ค.

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดท่ี 1,752 ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลล่าร์ และการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 990.32 / -3.20

- Advertisement -