บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

TAOKAENOI FOOD & MARKETING (TKN)

สาหร่ายไทยที่สามารถ Touch ใจชาวโลกได้

Action NOT-RATED

  • TP upside (downside) NR
  • Close Nov 8, 2023 Price 11.70
  • 12M Target 14.70 – 18.60

หมายเหตุ: TKN ปัจจุบันยังไม่อยู่ใน Coverage ของเรา อย่างไรก็ตามเราอยู่ระหว่างพิจารณาการกลับมาศึกษาเชิงลึกอีกครั้ง ข้อมูลในบทวิเคราะห์นี้ นักวิเคราะห์ได้จัดทำข้อมูลเพื่อเป็นมุมมองการลงทุน (Trading idea) เบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นฐานที่น่าสนใจ โดยอาศัยข้อมูลจาก Opportunity day และข้อมูลสาธารณะ ร่วมกับมุมมองต่ออุตสาหกรรม และสมติฐานประมาณการของนักวิเคราะห์ ยังมิได้มีการสัมภาษณ์ผู้บริหารแต่อย่างใด นักลงทุนควรใช้วิจารณญานในการลงทุนมากกว่าปกติ

ก่อนจะวิ่งมันต้องกลิ้งมาก่อน

  • IPO เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2558 ที่ราคา 4.00 บาท และสูงสุดที่ 29.50 บาทในปี 2560 จากการเติบโตในประเทศ และเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ตลาดคาดหวังการเติบโต_srf จากในประเทศและการส่งออก และกำไรเพิ่มขึ้นจาก 200 ลบ. ต่อปีไปอยู่ที่ 397 ลบ., 782 ลบ. และ 608 ลบ. ในปี 2558 – 2560 ตามลำดับ ก่อนที่จะเริ่มอิ่มตัวในประเทศ และมีสินค้าเลียนแบบในจีนหลังจากนั้นกำไรและราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลง
  • ปี 2563 เริ่มเห็นสัญญาณการ Turnaround ของธุรกิจในสหรัฐฯ แต่ก็ยังไม่มีเสถียรภาพมากพอ ทำให้ยอดขายยังขึ้นๆลงๆ ขณะที่รายได้ในจีนเพิ่งเริ่มพื้นตัว และมีความหวังกับตัวแทนจำหน่ายรายใหม่จากเกาหลีใต้ แต่ก็ยังไม่มีเสถียรภาพ และก็มีการเปลี่ยน Partner ใหม่ในปี 2564 แต่ก็เผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ทำให้รายได้ในจีนลดลงในปี 2565 และกลับมาเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวใน 3Q65 และรายได้ในจีนยังทรงตัวที่ 300 ลบ./ไตรมาสขึ้นไปได้นับตั้งแต่นั้นมา
  • 2564 มีการยุบรวมสายการผลิตส่วนใหญ่ของโรงงานนพวงส์ ไปยังโรงงานโรจนะ ทำให้มีค่าใช้จ่ายจากการลดจำนวนพนักงาน เนื่องจากโรงงานใหม่เป็นระบบ Automation มากขึ้น และค่าใช้จ่ายในการย้ายโรงงานมารบกวนผลประกอบการ

ประเด็นการลงทุน

  • ปัจจุบัน TKN มี 2 โรงงานคือ โรงงานนพวงศ์ กำลังการผลิต 580 ตัน/ปี อัตราการใช้กำพลังการผลิตสิ้น 2Q66 อยู่ที่ 63% และโรงงานโรจนะกำลังการผลิต 6,900 ตัน/ปี มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 70% เฉลี่ยทั้ง 2 แห่งอยู่ที่ 69% เพิ่มขึ้นจาก 56% ณ สิ้นปี 2565
  • บริษัทประสบความสำเร็จมากในตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่สินค้าวางจำหน่ายอยู่หลายปี โดยหลังสินค้าได้วางจำหน่ายใน Costco ห้างฯ ค้าส่งขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้รับความนิยมจากชาวเอเชียในสหรัฐฯ และเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวตะวันตกมากขึ้น ทำให้ยอดขายเติบโตสูง ขณะที่ในจีนมีการออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ทำให้การลอกเลียนแบบทำได้ยากขึ้น ยอดขายเติบโต และทั้ง 2 ประเทศยัง มีพื้นที่ให้การะจายสินค้าอีกมาก ส่งผลให้ ณ 2Q66 สัดส่วนรายได้ในประเทศเหลือเพียง 37% จาก 40% ในช่วงก่อน COVID-19 แม้ว่ารายได้ในประเทศจะเติบโตถึง 27% YoY ใน 1H66 แต่รายได้จากต่างประเทศโตมากกว่าที่ 35% YoY โดยจีนโต 42% YoY และต่างประเทศอื่นโต 31% YoY
  • บริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่ม GPM จากช่วงก่อน COVID-19 และช่วง COVID-19 อยู่ที่ 26- 29% มาอยู่ที่ 33% ใน 1H66 จากการผลักดันสินค้าใหม่ในกลุ่มสาหร่ายอบมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่าทอดที่ต้องใช้น้ำมัน และมีความ Automation เกือบทั้งหมด และการเกิด Economy of scale จากอัตราการใช้กำลังการผลิตมากขึ้น
  • แม้ว่าโอกาสในจีน และสหรัฐฯ ยังเหลืออีกมาก แต่ก็ยังมีโอกาสในตลาดอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และยุโรป โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่สินค้าของ TKN เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายจากที่ผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อเท่านั้น ปัจจุบันเริ่มขยายไปยังทุกช่องทางจำหน่าย ส่วนเกาหลีใต้แม้ว่าจะมีเจ้าตลาดจำนวนมาก แต่ใช้ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์โดยใช้ตัว Big roll เข้าไปแข่งและจะเริ่มวางใน 7-Eleven ของเกาหลีใต้ใน 4Q66 และกำลังจะขยายไปประเทศอังกฤษเพิ่มเติม รวมถึงประเทศยุโรปอื่นในอนาคต
  • 4Q66 กำไรมีโอกาส Surprise จากกระแสภาพยนต์สัปเหร่อ และธี่หยด ช่วยให้ยอดขาย Snack ผ่านช่องทางของ MAJOR เติบโตสูง ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง และนโยบายรัฐฯในปีหน้าและคาดว่าจะส่งผลให้ Consensus ปรับประมาณการขึ้นหลังรายงานงบ 3Q66
  • บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ 2H66 ที่ 15% HoH เราประเมินแบบระมัดระวังให้เติบโต 10% จะได้รายได้ใน 2H66 ที่ 2,800 ลบ. รายได้ทั้งปีอยู่ที่ 5,348 ลบ. (+22% YoY) แบบไม่รวม Surprise จากยอดขายผ่านช่องทาง MAJOR
  • คาด NPM แบบระมัดระวังที่ 14.5% (ค่าเฉลี่ยของ 6 เดือนแรก 14.2%) ลดลงจาก 14.9% ใน 2Q66 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสาหร่ายราว 15% อาจกระทบ GPM บ้าง แต่บริษัทมองว่าจะกระทบจำกัด เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่มากขึ้น การเพิ่มสัดส่วนยอดขายของสาหร่ายอบมากขึ้น การลดลงของค่าไฟ  และการใช้ไฟฟ้าจาก Solar จะช่วยลดผลกระทบได้ รวมถึงได้มีการขึ้นราคาสินค้าบางกลุ่มในต่างประเทศมาแล้วด้วยส่วนหนึ่ง
  • เราคาดรายได้ 3Q66 เติบโต 5% QoQ เป็น 1,370 ลบ. เติบโต 13% YoY ได้แรงหนุนจากตลาดต่างประเทศ จากการสต๊อกสินค้าก่อนช่วงเทศกาล เงินบาทอ่อนค่า และค่าระวางเรือขนส่งทางตู้คอนเทนเนอร์ลดลงมากกว่า 80% YoY ช่วยหนุน NPM ซึ่งอาจสูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 14.5% ได้ จะได้กำไรสุทธิเบื้องต้นใน 3Q66 ที่ 199 ลบ. โต 2% QoQ และ 11% YoY
  • ขณะที่ 4Q66 จะเหลือรายได้ตามประมาณการของเราที่ 1,430 ลบ. จากผลของ High season ในทุกประเทศ แต่ผลของรายได้ผ่านช่องทางโรงภาพยบนตร์ของ MAJOR ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงค์จากภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงอย่างสัปเหร่อ และอี่หยด รวมถึงภาพยนตร์ต่างชาติที่คาดว่าจะได้รับความนิยมสูงอีกมาก หนุนรายได้ 4Q66 อาจสูงกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ ทำให้รายได้อาจสูงถึง 1,600 ลบ. อิง NPM ที่ 14.5% จะได้กำไรสุทธิเบื้องต้นที่ 230 ลบ. (New high)
  • เราคาดกำไรสุทธิทั้งปี 2566 ที่ 790 ลบ. หรือ EPS ที่ 0.572 บาท
  • Rough valuation: อิง PER หุ้นในกลุ่ม Snack ใน Coverage ของเราอย่าง SNNP ที่ใช้ PER ในการประเมินมูลค่าที่ 32.6x ได้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 18.6 บาท แต่หากพิจารณา PER ของหุ้นทีมีรูปแบบการเติบโตในต่างประเทศเป็นหลักเหมือนกันอย่าง SAPPE เราใช้ PER ที่ 25.7 เท่า ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 14.70 บาท ค่ากลาของค่า PER ในการประเมินมุลค่าอยู่ที่ 29.2 เท่าได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 16.70 บาท มี Upside gain จากราคาปิดวานนี้อยู่ 42.7%
  • ถูกสุดในกลุ่ม: แม้ว่าที่ประมาณการที่ค่ออนข้าง Conservative ของเรา และเป็นประมารการปี 2566 ทำให้ที่ราคาปิด 11.70 บาท TKN ซื้อขายที่ PER66 ที่เพียง 20.5 เท่า ถูกสุดเมื่อเทียบกับหุ้นที่ถูกที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่มใน Coverage ของเราตอนนี้คือ ICHI อยู่ที่ 22.0 เท่า, SAPPE อยู่ที่ 22.8เท่า และหุ้นใกล้เคียงที่สุดคือ SNNP ที่ปรับตัวลงมามากแล้วยังอยู่ที่ 24.4 เท่า
  • เรามองว่า TKN กลับมาเป็นหุ้นเติบโตเต็มตัวชัดเจน รายได้และความสามารถในการทำกำไรมีเสถียรภาพมากขึ้น ผ่านการพิสูจน์ผลงานมาแล้ว 4 ไตรมาส โดยรายได้และ GPM ยังไม่อิมตัวยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ ฐานะการเงินแข็งแกร่งด้วย DE ratio เพียง 0.46 เท่า
  • แม้ว่าปี 2567 เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง แต่ TKN จะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มเพราะสินค้าที่วางจำหน่ายในแต่ละประเทศยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังเหลือพื้นที่ให้กระจายสินค้าได้อีกมาก และเติบโตได้จากประเทศใหม่ ส่วนตลาดในประเทศก็จะได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐบาลด้วยเช่นกัน ทำให้ผลประกอบการปี 2567 ยังเติบโต และมูลค่าเหมาะสมจะสูงกว่าที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทางเทคนิคแนวรับ 11.50 / 11.20 บาท แนวต้านระยะสั้น 12.30 / 13.00 บาท , Stop loss 11.00
  • ความเสี่ยง: การเพิ่มขึ้นของราคาสาหร่าย/ การเพิ่มขึ้นของค่าขนส่ง/ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน/ สินค้าเลียนแบบ/การกีดกันทางการค้า
- Advertisement -