บล.บัวหลวง:
Bangkok Chain Hospital (BCH TB / BCH.BK)
BCH – สูงกว่าทุกคาดการณ์; แค่เริ่มต้น
กำไรสูงกว่าที่เราและตลาดคาด
BCH รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 441 ล้านบาทสำหรับไตรมาส 3/66 พลิกกลับ YoY และ 42% QoQ หากไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 54 ล้านบาทกำไรหลักจะอยู่ที่ 494 ลานบาท พลิกกลับ YoY และ 42% QoQ ผลประกอบกาลสูงกว่าที่เราและตลาดคาด เนื่องจากอัตรากำไรขั้นตันธุรกิจการแพทย์ปรับตัวดีขึ้น และสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ลดลง
ในไตรมาส 3/66 บริษัท บางกอก เซน อินเตอร์เนชั่นแนล (ลาว) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BCH ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ได้ปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทใหม่ทั้งหมดในเดือนก.ย. 2566 เป้าหมายของการปรับโครงสร้างใหม่คือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินงานของโรงพยาบาลและการชำระคืนหนี้โดยค่าเงินบาท ส่งผลให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากการอ่อนค่าของอัตราเงินกีบต่อ ค่าเงินบาท
ประเด็นหลักผลประกอบการ
รายได้ธุรกิจการแพทย์อยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท (แบ่งเป็นรายได้จากผู้ป่วยเงินสด 69%, รายได้จากผู้ป่วยประกันสังคม 31%) ลดลง 7% YoY แต่เพิ่มขึ้น 12% QoQ รายได้จากผู้ป่วยเงินสดอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท (แบ่งเป็นผู้ป่วยนอก 50% และ ผู้ป่วยใน 50%) ลดลง 10% YoY จากฐานที่สูงของรายได้โควิด-19 แต่เพิ่มขึ้น 15% QoQ เนื่องจากโรงพยาบาลใหม่ทั้งสามแห่งมีการค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และโรคตามฤดูกาลมีการแพร่กระจายอย่างมาก รายได้ผู้ป่วยประกันสังคมอยู่ที่ 992 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% YoY และ 5% QoQ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 33.3% เพิ่มขึ้น 36.5% YoY และ 3.7% QoQ สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 13.1% เพิ่มขึ้น 0.8% YoY แต่ลดลง 2.1% QoQ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิทรงตัวอยู่ที่ 0.1 เท่า ณ สิ้นเดือน ก.ย.
แนวโน้ม
กำไรไตรมาส 4/66 มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว YoY (โดยมีแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคตามฤดูกาลต่อเนื่องจากโตรมาส 3/66) แต่ลดลง QoQ (วันหยุดปีใหม่) นอกจากนี้ บริษัท บางกอก เซน อินเตอร์เนชั่นแนล (ลาว) จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ได้ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างทางการเงินด้วยการเพิ่มทุนเป็น 482 ล้านบาท วัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินงานของโรงพยาบาลและชำระคืนเงินกู้สกุลเงินบาท ซึ่งสามารถกลบขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง กับอัตรากลีบต่อเงินบาทที่อ่อนค่าลง นอกจากนี้ การเพิ่มทุนจะนำไปใช้ในการขยายศูนย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลอย่างครบวงจร และเพิ่มอัตรากำไรให้กับบริษัท การพัฒนานี้มีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตรากำไรของบริษัทอย่าง ค่อยเป็นค่อยไป
แนวโน้ม
กำไรไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 1/66 เราคาดรายได้จะปรับตัวลดลง YoY เนื่องจากภาครัฐปรับลดงบประมาณค่ารักษา COVID-19 และไวรัสเริ่มไม่เป็นปัญหา แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล (ธุรกิจดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติไม่มากก็น้อย) อัตรากำไรหลักมีแนวโน้มอ่อนตัวลง YoY (จากอัตรากำไรที่ขยายตัวอย่างมากในไตรมาส 2/65) แต่เพิ่มขึ้น QoQ สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป
ราคาดกำไรหลักปี 2566 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (ลดลง 51% YoY) ซึ่งเป็นช่วงฟื้นตัวหลัง COVID-19 เราคาดกำไรหลักปี 2567 ที่ 1.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 19% YoY) ซึ่งเป็นการดำเนินงานปกติของโรงพยาบาลใหม่ที่ยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรามองว่าโรงพยาบาลทั้งสามแห่งจะรายงานกำไรในปี 2568-69 (โรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์จะเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่รายงานกำไรในปี 2567)
คำแนะนำ
เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ อิงจากโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่ง เพิ่มขึ้น QoQ ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/66 และสูงกว่าตลาดคาด หุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2567 ที่ 28.4 เท่า ต่ำกว่า PER เฉลี่ยระยะยาวที่ 29.7 เท่า