หมดเวลาพัก ได้เวลาขึ้น / 1,390-1,405

มุมมองตลาดหุ้นวันนี้

  • SET เปิดโดดขึ้นและขึ้นต่อ: แรงหนุนจากความหวังว่าเฟดอาจยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในไม่ช้านี้ หลังสหรัฐฯเผยเงินเฟ้อเดือนต.ค.ชะลอตัวลงโดย 1) Headline CPI ขยายตัว 3.2%y-y ตำกว่าตลาดคาดุที่ 3.3%y-y และชะลอลงจาก 3.7%y-yในเดือนก.ย. และ 2) Core CPI ขยายตัว 4.0%y-y ต่ำกว่าตลาดคาด และชะลอลงจากเดือนก.ย.ที่ 4.1%y-y ขณะที่ CME FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 99.8% ที่แฟดจะคงดอกเบี้ยที่ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. และให้น้ำหนัก 50.9% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพ.ค.67 ขณะเดียวกันการเปิดเผยเงินเฟ้อดังกล่าวยังส่งผลให้ USBondYield 2 ปี และ 10 ปี ร่วงลงทดสอบระดับ 4.8% และ 4.4% รวมถึง Dollar Index ร่วงลงทดสอบระดับ 104 จุด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและลดแรงกดดันต่อ Fund Flow อีกทั้ง SET Index ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนเพิ่มเติมจาก 1) แรงหนุนต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคหลังครม.มีมติเห็นชอบให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 1 พ้นบาท/ไร่ และ 2) แรงหนุนต่อหุ้นใน SETESG หลังก.คลังเคาะตั้ง TESG Fund เตรียมเสนอครม.ภายใน วันที่ 21 พ.ย. เน้นลงทุนในหุ้นไทยและบอนด์ ESG คาดเริ่มซื้อกองทุนได้ต้นเดือนธ.ค. เบื้องต้นภายในระยะเวลา 1 เดือนคาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าซื้อกองทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลบ. นอกจากนี้ SET Index มีแนวโน้มได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดเผยตัวเลขศก.เดือนต.ค.ของจีนในวันนี้ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของศก.จีน ได้แก่ 1) ยอดค้าปลีก ตลาดคาดขยายตัว 7.0% y-y เร่งตัวขึ้นจาก 5.5% y-y ในเดือนก.ย. 2) ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม ตลาดคาดขยายตัว 4.5%y-y เท่ากับในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ติดตามการพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในวันนี้ ซึ่งอาจเผยถึงการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา
  • กลยุทธ์การลงทุน : 1) ท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย: AOT, BA, CPAXT, HMPRO, KTC, MTC, OR, SABINA, TIDLOR 2) หุ้น SETESG + หวัง Short covering: CRC, GULF, KTB, PTT, SCB, TOP และ 3) Selective play: CK, KBANK, SIRI

ปัจจัยบวก

  • กองศก.การท่องเที่ยวและกีฬาเผยประเทศไทยมีจำนวนนทท.ต่างชาติสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.- 12 พ.ย. 66 จำนวน 23.24 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนทท.ต่างชาติแล้ว 9.82 แสนลบ.
  • โกลด์แมน แซคส์คาดศก.โลกจะขยายตัว 2.6% ในปี 67 โดยสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะขยายตัวมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อีกครั้ง โดยขยายตัว 2.1% ขณะเดียวกันโกลด์แมนเซคส์เชื่อว่าแรงฉุดจากนโยบายคุมเข้มทางการเงินและการคลังนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
  • จืนเผยปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารรถไฟในประเทศเติบโตแข็งแกร่งในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 195.6% y-y แตะที่ 351.69 ล้านครั้ง ขณะเดียวกันปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของกิจกรรมทางศก. เพิ่มขึ้น 4%y-y แตะที่ 436.56 ล้านตัน
  • IEA เพิ่มคาดอุปสูงค์น้ำมันปีนี้สู่ 2.4 จากเดิมที่ 2.3 ล้านบาร์เรล/วันและเพิ่มคาดอุปสงค์น้ำมันปี 67 สู่ระดับ 9.3 จากเดิมที่ 88แสนบาร์เรล/วัน

ปัจจัยลบ

  • สศก.เผยผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญปีนี้หลายชนิดมีแนวโน้มลดลง อาทิ ข้าวนาปี มันสำปะหลังโรงงาน สับปะรดปัตตาเวีย ถั่วเหลืองปาล์มน้ำมัน ยางพารา กาแฟ มะพร้าวผลแก่ ปลานิล และปลาดุกจากผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
  • ครม.มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ที่ให้ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายอีก 2 บาท/ก.ก. ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของชาวไร่อ้อย โดยให้มีผลทันที
  • ญี่ปุ่นเผย GDP3Q66 (Annualized q-q) หดตัว 2.1% รุนแรงกว่าตลาดคาดที่หดตัว 0.4% และพลิกจากที่ขยายตัว 4.5% ใน 2Q66

PICKS OF THE DAY

AOT BUY

  • เป้าหมาย 70.00 / 72.00 แนวรับ 67.00
  • กำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง: 4Q66 คาดกำไร +376% y-y และ +17% q-q เป็น 3.7 พันลบ. ตามการท่องเที่ยวฟื้นตัวหลังโควิด ทำให้เที่ยวบินและผู้โดยสาร +35% และ +48% y-y รวมถึงหมดมาตรการช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการในสนามบิน ทำให้รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น และ 1H67 (ต.ค.66 – มี.ค. 67) เป็น high season แรกที่ไม่มีผลกระทบจากโควิด ผู้โดยสารและเที่ยวบินยังสูงขึ้น y-y ทำให้กำไรยังโตได้ต่อเนื่อง
  • ได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการท่องเที่ยว: จากมาตรการฟรีวีซ่า นทท. จีน คาซัคสถาน ไต้หวัน อินเดีย และเพิ่มเวลาพำนัก นทท. รัสเซีย ส่งผลดีต่อการเดินทางมาไทย ซึ่ง AOT บริหารสนามบินหลักของประเทศและไม่มีคู่แข่ง จึงได้ประโยชน์มากสุด อีกทั้ง น่าจะมีความชัดเจนในการบริหารสนามบินเพิ่ม

SIRI BUY

  • เป้าหมาย 1.70 / 1.78 แนวรับ 1.60 / 1.63
  • กำไร All time high: ยังคงมีพอร์ตบ้านระดับราคาสูงที่สามารถโอนได้อย่างต่อเนื่อง อย่างนาราสิริ เศรษฐสิริ และบูก้าน ทำให้ 3Q66 มีกำไรอยู่ในระดับดี รวมแล้ว 9M66 กำไรสุทธิ 4,760 ลบ. +91%y-y เติบโตมากกว่าอุตฯอย่างมาก ซึ่งค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะทำกำไรปี 66 เติบโต y-y และเป็น All time high
  • Div. yield ยังดี: คาดจ่ายปันผลครึ่งปีหลังที่ 0.1 บาท หากเทียบกับราคาปัจจุบันมี Div yield ที่ 6.0% หากรวมกับในช่วงครึ่งปีแรกที่ 4.9% จะให้ Div yield ทั้งปี 66 สูงถึง 10.9% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 7.3% แสดงถึงราคาหุ้นยังอยุ่ในระดับต่ำ
- Advertisement -