บล.ฟินันเซีย ไซรัส:
CH.KARNCHANG (CK TB) กําไรปกติ 3Q23 แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี
- กําไรปกติ 3Q23 อยู่ที่ 641 ล้านบาท (+32% q-q, +19% y-y) จากรายได้ก่อสร้างทรงตัวสูง หนุนด้วยการฟื้นตัวของกําไรบริษัทลูกตามปัจจัยฤดูกาล
- คงคาดกําไรปกติปี 2023 +63% y-y แต่ปรับลดปี 2024-25 เป็น +30% y-y, +8% y-y
- คงแนะนําซื้อ ราคาเหมาะสมปี 2024 ที่ 26 บาท (อิง SOTP)
กําไรปกติ 3Q23 เติบโตเด่น +32% q-q, +19% y-y
CK รายงานกําไรสุทธิ 3Q23 เท่ากับ 641 ล้านบาท (+32% q-q, +12% y-y) ส่วนกําไรปกติ +32% q-q, +19% y-y โดยกําไรที่เติบโต q-q จากการเร่งขึ้นของส่วนแบ่งกําไรบริษัทร่วมทั้ง CKP เข้าสู่ช่วงฤดูนํ้า และ BEM ตามผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ส่วนการขยายตัว y-y หลักๆมาจากธุรกิจก่อสร้างที่รายได้โตก้าวกระโดด สรุปสาระสําคัญดังนี้
1) ธุรกิจก่อสร้าง รายได้ทรงตัวสูงที่ 8.9 พันล้านบาท -3% q-q แต่ +144% y-y จากการรับรู้โรงไฟฟ้าหลวงพระบางตั้งแต่ 1Q23 ประกอบกับความคืบหน้าของรถไฟฟ้าม่วงใต้ และรถไฟทางคู่เด่นชัย ส่วนอัตรากําไรขั้นต้นอยู่ที่ 7.4% ใกล้เคียงกับ 2Q23
2) การเติบโตของเงินลงทุนบริษัทลูก โดยรับรู้เงินปันผลรับจาก TTW 232 ล้านบาท รวมถึงส่วนแบ่งกําไรบริษัทร่วม 595 ล้านบาท +133% q-q ตามปัจจัยฤดูกาล แต่ -19% y-y เนื่องจาก CKP ถูกกระทบจาก El Niño
3) ดอกเบี้ยจ่าย +35% y-y อยู่ที่ 480 ล้านบาท จากการสํารองจ่ายล่วงหน้าในโรงไฟฟ้าหลวงพระบางซึ่งเจ้าของโครงการจะทยอยชําระภายหลัง
คงประมาณการปี 2023 แต่ปรับลดปี 2024-25 จากกําไรบริษัทลูกน้อยกว่าคาด
เราปรับสมมติฐานหลักปี 2023-2025 โดยปรับเพิ่มรายได้ก่อสร้าง สะท้อนความคืบหน้าโรงไฟฟ้าหลวงพระบางเร็วกว่าคาด แต่ปรับลดส่วนแบ่งกําไรบริษัทร่วมทั้ง BEM และ CKP ส่งผลให้กําไรปกติปี 2023 คงคาดที่ 1.4 พันล้านบาท (+63% y-y) แต่ปรับประมาณการปี 2024-2025 ลง 22-27% เป็น 1.9 พันล้านบาท (+30% y-y) และ 2 พันล้านบาท (+8% y-y) โดยกําไรปกติ 4Q23 คาดโตเด่น y-y จาก 4Q22 ที่ขาดทุน -75 ล้านบาท แต่ลดลง q-q เนื่องจากไม่มีเงินปันผลรับจาก TTW รวมถึง BEM ที่ชะลอลงจากวันหยุดจํานวนมาก และ CKP ตามปริมาณนํ้าลดลง ส่วนธุรกิจก่อสร้างยังทรงตัวสูง
Backlog อยู่ระดับสูง พร้อมมีศักยภาพรับงานใหม่เข้ามาเติม
งานในมือ ณ สิ้น 3Q23 อยู่ระดับสูง 1.4 แสนล้านบาท เทียบเท่ารายได้ 3-4 ปี ขณะที่ CK มีศักยภาพรับงานใหญ่อีกมาก โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างรอคําตัดสินของศาลปกครองสูงสุด 1 คดี นอกจากนี้ มีงานประมูลใหม่ที่มีโอกาสเห็นความคืบหน้าเป็นรูปธรรมในปี 2024 อาทิ รถไฟทางคู่เฟส 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว
พื้นฐานแข็งแกร่งทั้งธุรกิจหลักและการลงทุนบริษัทร่วม ยังแนะนําซื้อ
เราคงคําแนะนําซื้อ ราคาเหมาะสมปี 2024 ที่ 26 บาท (อิง SOTP) ด้วยมุมมองบวกจากธุรกิจหลักอย่างรับเหมาก่อสร้างที่ปี 2023 เห็น Core operation ที่ Turnaround อีกครั้ง ในรอบ 4 ปี และรายได้จะเร่งขึ้นเป็น S-Curve หนุนด้วยการเติบโตของบริษัทร่วม ขณะที่ความคืบหน้าของงานใหม่ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้มจะเป็น Catalyst ต่อหุ้น
Investment thesis
ช่วงปี 2019-2022 ผลประกอบการของ CK อ่อนแอ โดยกำไรปกติอยู่ระดับต่ำกว่า 1 พันล้านบาท สาเหตุจากผลขาดทุนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจากงานในมืออยู่ระดับต่ำ นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงจาก BEM เผชิญสถานการณ์ Covid
อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองบวกต่อผลประกอบการที่เป็นขาขึ้นตั้งแต่ปี 2023 ขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของธุรกิจรับเหมาเนื่องจากรับงานใหญ่เข้ามาเติม อาทิ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ รถไฟทางคู่ และโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง อีกทั้ง ยังหนุนด้วยการเติบโตของการลงทุนในบริษัทร่วม โดยเฉพาะ BEM ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวทั้งปริมาณรถบนทางด่วนและผู้โดยสารในรถไฟฟ้า
Company profile
CK ก่อตั้งในปี 1972 ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วไป โดยรับงานจากหน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน มีลักษณะกิจการเป็นผู้รับเหมาโดยตรง Main Contractor) ผู้รับเหมาช่วง (Sub Contractor) หรือ Joint Venture หรือ Consortium นอกจากนี้ เป็นผู้ลงทุนเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้น พื้นฐานในประเทศอย่างครบวงจร ปัจจุบัน CK ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประกอบด้วย ระบบขนส่งมวลชน ผ่านบมจ.ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM), ระบบน้ำ ผ่านบมจ.ทีทีดับบลิว (TTW) และพลังงาน ผ่าน บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP)
Catalysts
ปัจจัยหนุนการเติบโตคือ การรับงานใหม่เข้ามาเติม โดยความคืบหน้าของการผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะเป็นประเด็นบวกสําคัญ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่ง BEM อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา รวมถึงการเติบโตของเงินลงทุนในบริษัทร่วม
Risks to our call
ความเสี่ยงต่อประมาณการ
1) ความล่าช้าของการเซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
2) ความล่าช้าของการเปิดประมูลงานใหม่ และงานใหม่น้อยกว่าคาด
3) ความไม่แน่นอนทางการเมือง
4) ความคืบหน้าการก่อสร้างน้อยกว่าคาด และปัญหา Cost overrun
5) ต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น, การขาดแคลนแรงงาน และการปรับขึ้นค่าแรง
6) ผลประกอบการบริษัทร่วม (BEM, CKP) ตํ่ากว่าคาด