บล.บัวหลวง: 

Thai Market Strategy – สรุปกำไรไตรมาส 3/66 ของ SET

กำไรไตรมาส 3/66 หนุนมาจากกำไรของสต๊อกน้ำมันและสินค้าปิโตรเคมี อุปสงค์ที่แข็งแกร่งของกลุ่มการแพทย์จากปัจจัยทางฤดูกาลและอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หากมองไปข้างหน้า การกลับมาเป็นปกติของภาคธุรกิจและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจะหนุนกำไรไตรมาส 4/66

กำไรสุทธิไตรมาส 3/66 เติบโต 17% YoY (แต่ต่ำกว่าตลาดคาด 2.4%)

หุ้นใน SET รายงานกำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 17% YoY (และ 21% QoQ) สะท้อนจาก

1) กำไรจากสินค้าคงคลัง ปริมาณน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น และค่าการกลั่นในตลาดที่สูงขึ้นของกลุ่มโรงกลั่น (และกำไรที่สูงขึ้นสำหรับผู้ค้าปลีก ปิโตรเลียม)

2) กำลังการผลิตโรงไฟฟ้า IPP ใหม่ (กลุ่มโรงไฟฟ้า)

3) งานก่อสร้างเพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มผู้รับเหมา

4) ความต้องการด้านการแพทย์จำนวนมาก

และ 5) คำสั่งซื้อที่มากขึ้นสำหรับ EV สำหรับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางรายการ โดยกดดันกลุ่มขนส่ง (อัตราค่าระวางเรือที่ลดลง) และกลุ่มเกษตร (ราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น)

สัดส่วนของบริษัทใน SET ที่มีอัพไซด์ (มากกว่าคาดเกิน 5%) อยู่ที่ 36% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 35% ในไตรมาส 2/66 บริษัทราว 41% ประกาศผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ (เพิ่มขึ้นจาก 31% ในไตรมาส 2/66) สำหรับหุ้นที่ BLS ให้คำแนะนำร ายงานกำไรที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานรวมในไตรมาส 3/66 เท่ากับ 6% ของกำไรหลักในไตรมาส 3/66 (เทียบกับขาดทุนที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 ซึ่งเท่ากับ 7% ของกำไรหลักรวมในไตรมาส 2/66) กำไรจากการดำเนินงาน (หลัก) สำหรับไตรมาสนี้ลดลง 22% YoY (แต่เพิ่มขึ้น 6% QoQ) กำไรสุทธิต่ำกว่าที่เราคาด 1.8% (แต่กำไรหลักสูงกว่าเราคาด 1%)

ประมาณการกำไรถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือน พ.ย.

การใช้จ่ายของผู้บริโภคแสดงสัญญาณที่อ่อนแอจากแรงส่งทางเศรษฐกิจห ลังการเปิดเมือง/เปิดประเทศหลังโควิดเริ่มแผ่ว ในขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก และความกังวลการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลล่าช้า ปัจจัยเหล่านี้ได้กดดันความเชื่อมั่นต่อโอกาสสำหรับกลุ่มต่างๆ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ ได้แก่ กลุ่มเคมีภัณฑ์ (ส่วน ต่างของปิโตรเคมีที่ลดลง) กลุ่ม ICT (การยกเลิกข้อตกลงประกันการเช่าของ JASIF) กลุ่มขนส่ง (การแข่งขันทางด้านราคาของ KEX), การเงิน (คุณภาพ สินทรัพย์ที่ลดลง) และการพาณิชย์ (อุปสงค์ที่อ่อนแอ) ในทางตรงกันข้ามกลุ่มอาหารและการเกษตร (การส่งออกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งสำหรับผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและยอดขายผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มที่แข็งแกร่ง) และกลุ่มอสังหาฯ (ความสามารถของ CPN ในการจัดการอัตรากำไร) ถูกปรับประมาณการกำไรของตลาดขึ้น

สัดส่วนของกลุ่มมีการปรับการคาดการณ์กำไรขึ้น (7 ใน 18 กลุ่มในปี 2566) ต่ำกว่าสัดส่วนกลุ่มที่ถูกปรับลดประมาณการกำไร (11 ใน 18 กลุ่ม) ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2567 ของเราอยู่ที่ 102 (สูงกว่าตลาดที่ 98.8) และเป้าหมาย SET ปี 2567 ของเราอยู่ที่ 1,673 ทั้งนี้เราเห็นความเสี่ยงขาลงเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต่ำลง และยังมีความไม่แน่นอนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

- Advertisement -