บล.พาย:
NER: บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์
3Q23 ชะลอตัว แต่ 4Q23 จะฟื้น
NER รายงานกำไรสุทธิ 3Q23 ที่ 312 ลบ. (-41%YoY, -32%QoQ) เป็นไตรมาสที่ไม่ดีนัก เพราะได้รับแรงกดดันจากการส่งออกที่ลดลง หลังเศรษฐกิจจีนมีปัญหา รวมถึงราคาขายอ่อนตัวลงด้วย อย่างไรก็ตามในช่วง 4Q23 คาดว่าผลประกอบการจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้ หลังจากเริ่มได้รับผลดีจากราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น ตั้งแต่เดือน ส.ค. ส่วนปี 24 ในแง่ปริมาณขายคาดว่าจะทรงตัวจากปี 23 ที่ระดับ 5 แสนตัน เพราะกำลังการผลิตมีค่อนข้างจำกัดแต่จะได้รับผลดีจากราคายางที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ขณะที่โรงงานใหม่เลื่อนการเปิดไปเป็นปี 25 แทน โดยรวมเราปรับกำไรปี 23 ลงเล็กน้อยเป็น 1,484 ล้านบาท (-15%YoY) แต่จะกลับมาโตโดดเด่นในปี 24 ที่เราคาด ว่าจะเติบโต 16%YoY มาอยู่ที่ 1,720 ล้านบาท ดังนั้น เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม เพราะยังมีเงินปันผลที่ได้รับเฉลี่ยปีละกว่า 7% อยู่
3Q23 รายงานกำไรสุทธิ 312 ล้านบาท (-41%YoY, -32%QoQ)
- 3Q23 NER มีกำไรสุทธิ์ 312 ล้านบาท (-41%YoY, -32%QoQ) แต่ถ้าไม่รวมกำไรจากตราสารอนุพันธ์ 9 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 37 ล้านบาท กำไรปกติจะอยู่ที่ 340 ล้านบาท (-45%YoY, -33%QoQ)
- รายได้อยู่ที่ 5,628 ล้านบาท (-22%YoY, -14%QoQ) มีปริมาณขาย 112,426 ตัน (-9%YoY, -13%QoQ) ส่วนราคาขายเฉลี่ย 50 บาท/กก. (-14%YoY, -1%QoQ ) ชะลอตัวจากความต้องการจากจีนที่ลดลง
- กำไรขั้นต้นที่ 10.9% ลดลงจาก 13.4% ใน 3Q22 และ 12.9% ใน 2Q23 แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 144 ล้านบาท (-35%YoY, -32%QoQ) ลดลงตามปริมาณการส่งออกที่น้อยลง (-23%YoY, -37%QoQ)
- ดอกเบี้ยจ่าย 111 ลบ. (-1%YoY, +6%QoQ)
ถ้าเกิด El Niño ในไทยราคายางมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น
- ภาพรวมยางพาราในแง่ของปริมาณผลผลิตในประเทศไทย คาดว่าจะออกมาน้อยโดยเฉพาะในภาคใต้ จากปัญหาปริมาณฝนที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ย แต่สำหรับทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่กระทบมากนัก ซึ่งจะทำให้ราคายางพารามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เพราะถ้ามองในแง่ความต้องการใช้ยางล้อรถในตลาดโลกที่ในช่วง 9M23 ยังเพิ่มขึ้นได้ 6%YoY
ปรับกำไรทั้งปีลงเหลือ 1,484 ล้านบาท (-15%YoY)
- ด้วยปริมาณขายที่ไม่สูงนักในช่วง 3Q23 ขณะที่แนวโน้มในช่วง 4Q23 ที่คาดว่าปริมาณจะดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 120,000 ตัน และราคาขายขึ้นเป็น 52-53 บาท/กก. ทำให้เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิอยู่ในระดับ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ทั้งเมื่อเทียบกับ 3Q23 และ 4Q22 และทำให้รวมแล้วกำไรในปี 23 จะอยู่ที่ 1,484 ล้านบาท (-15%YoY) แต่ปี 24 แม้ปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก (เบื้องต้นคาดไว้ที่ระดับ 501,000 ตัน) แต่ด้วยราคาขายที่ดีขึ้นเป็น 54 บาท ทำให้เราประเมินกำไรสุทธิที่ 1,720 ล้านบาท (+16%YoY)
- คำแนะนำการลงทุน จากแนวโน้มผลประกอบการที่คาดว่าจะฟื้นตัวและเงินปันผลที่ทั้งปียังคงมีผลตอบแทนกว่า 6-7% เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับมูลค่าเหมาะสมที่ 5.87 บาท (6.3XPER’24E)
โรงงาน 3 ปรับแผนใหม่ เสร็จปี 25
- สำหรับการก่อสร้างโรงงานผลิตยางแท่งแห่งที่ 3 มีการปรับแผนใหม่ โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 302,400 ตัน (+52%) จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 515,600 ตัน ซึ่งจะแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะมีกำลังการผลิตประมาณ 178,200 ตัน โดยคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปี 25 ซึ่งการขยายครั้งนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท เรามองว่าการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่จะเพิ่มโอกาสในการเติบโตของ NER ได้เพราะโรงงานปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มแล้ว ซึ่ง NER เองมีการหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการมีกำลังการผลิตเพิ่มจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าใ นอนาคตได้มากขึ้น
ธุรกิจปลายน้ำปรับแผนอีกครั้ง
- ธุรกิจปลายน้ำที่ NER ตั้งใจจะขยายไปยังธุรกิจผลิตแผ่นยางปูรองนอนนั้น ล่าสุดปรับแผนใหม่อีกครั้งโดยเน้นการขายเชิงปริมาณไป ที่กลุ่มสุกรถึง 90% ขณะที่กลุ่มวัวเหลือ 10% (แต่ในแง่มูลค่ากลุ่มสุกรต่อกลุ่มวัวอยู่ที่ 53:47) ซึ่งลูกค้าหลักคือลูกค้าในประเทศ (98%) ส่วนต่างประเทศกลุ่มแรกคือญี่ปุ่น และจะขยายไปยังกลุ่มประเทศในแถบ CLMV เพิ่ม ทั้งนี้ NER ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ระดับ 8 ล้านบาท (นับถึงสิ้นเดือน ต.ค. มียอดขายได้แล้วกว่า 60 %)
Revenue breakdown
โครงสร้างรายได้ของ NER มาจากสินค้าหลัก 2 กลุ่มได้แก่ 1 สินค้ากลุ่มยางแผ่นรมควัน (RSS และRSS-CPR) และ 2 สินค้ากลุ่มยางแท่ง (ยางแท่ง STR 20 และ STR-CPR) ขณะที่ลูกค้าหลักมาจากจีน สิงคโปร์ และอินเดีย