บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/11/66
ค่อยๆ เพิ่ม BETA ให้พอร์ต ดีกว่า
การประชุม กนง. วันนี้ ประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะเห็นการคงอัตราดอกเบี้ย นโยบายไว้ที่ 2.5% ซึ่งอาจถือเป็นจุดปลายทางของการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ หลังจากปรับขึ้นมาต่อเนื่อง 5 ครั้ง ทั้งนี้เหตุผลสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ย เป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงบ้านเราเป็นบวกมากกว่า 2.8% ขณะที่ เศรษฐกิจไทยยังต้องการแรงกระตุ้นจากนโยบายการเงิน ในส่วนของทิศทาง FUND FLOW เริ่มเห็นสัญญาณบวก โดยโบรกเกอร์ต่างชาติ ที่ครองส่วนแบ่ง การตลาดสูงสุด 2 อันดับแรก กลับมาซื้อสุทธิ ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาต่อเนื่อง องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับตลาดหุ้นบ้าน เรา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำให้เห็นการฟื้นตัวของ SET INDEX ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ ลดลง ในเชิงของการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้ ทยอยปรับพอร์ต เพื่อเพิ่ม BETA และลดระดับเงินสดลง
ประเมินภาพของ SET INDEX ในทางบวก โดยการดีดตัวขึ้นไปในรอบนี้มีโอกาส ผ่าน 1420 จุดได้ไม่ยาก ส่วนวันนี้ประเมินกรอบช่วง 1395 – 1410 จุด กลยุทธ์ แนะนำให้ปรับพอร์ตเพิ่ม BETA หุ้น TOP PICK เลือก SCGP, SIRI และTISCO
ลุ้น กนง. “คงดอกเบี้ย” บ่ายนี้
วันนี้ เวลา 14.30 น. รอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่ง หากนับตั้งแต่ต้นปี กนง. ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 5 ครั้งติดต่อกัน 1.5% จาก 1.25% เป็น 2.5% (ปรับขึ้นในอัตราที่สูงกว่าสหรัฐ ที่ปีนี้ขึ้นดอกเบี้ย 1% เป็น 5.5% และเริ่มคง ดอกเบี้ยตั้งแต่ 20 ก.ย. 66) ทำให้ประชุมในรอบนี้น่าจะเป็นครั้งแรกของปีที่ไม่ขึ้น ดอกเบี้ย โดยมีหลายปัจจัยหนุน อาทิ
1. เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำมาก และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากราคาน้ำมัน ที่ชะลอตัวลง รวมถึงมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ขณะที่ข้อมูลในอดีต สะท้อนเงินเฟ้อไทยที่ชะลอตัวลงมา มักจะตามมาด้วยการลดดอกเบี้ย
2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยล่าสุดเป็นบวกเด่นกว่าหลายประเทศ อาทิ สหรัฐ จีน ยุโรป เกาหลีใต้ ฯลฯ ส่วนหนึ่งเนื่องจากเงินเฟ้อไทยเข้าสู่โซนติดลบ สวนทางกับประเทศต่างๆ
3. BOND YIELD ไทยอายุ 2 ปี ค่อนข้างทรงตัว อีกทั้งยังอยู่ในระดับต่ำกว่า POLICY RATE ราว 0.12% ขณะที่การปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งล่าสุดหลัง กนง.ขยับขึ้นดอกเบี้ย มักจะเห็น BOND YIELD 2 ปีต่ำกว่า POLICY RATE เกือบ 0.25%
4. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 ขยายตัวได้น้อย โดย GDP GROWTH ไทยใน 3Q66 โตเพียง 1.5%YOY ซึ่งต่ำสุดในรอบปี
สรุป หาก กนง. หยุดขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ถือเป็นการใช้นโยบายการเงินผ่อน คลายมากสุดในรอบปี ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงได้มากขึ้น ทั้งนี้กรณีที่มีการปรับลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป ฝ่ายวิจัยฯ คาดดอกเบี้ยที่ลดลง 25 BPS. (จาก 2.5% เป็น 2.25%) จะเป็นแรงผลักให้ SET INDEX ปรับตัวสูงขึ้น 78 จุด ช่วยผลักดันไปสู่ดัชนีเป้าหมายปีหน้าที่ 1717 จุด
ประชุม ครม. มีมาตรการกระตุ้นอะไรบ้าง … ดีต่อหุ้นกลุ่มไหน
วานนี้มีการประชุม ครม. ซึ่งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด 5 มาตรการ ดังนี้
1. มาตรการด้านภาษีและการเงินเพื่อสนับสนุนสินค้าไทยให้เป็นที่สนใจของ นักท่องเที่ยว
2. มาตรการปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่นๆ รวมทั้ง ปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ให้ สินค้าและบริการบางประเภทมีราคาจูงใจ เช่น การลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม
3. พิจารณาความเหมาะสมในการยกเลิกการอนุญาตจัดตั้งร้านค้าปลอดภาษี (DUTY FREE) ขาเข้า เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าภายในประเทศ
4. การผ่อนปรนเวลาเปิด-ปิดของสถานบริการถึงเวลา 4.00 น. เพื่อกระตุ้น การใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มมากขึ้น
5. การยกเว้นการตรวจตราเพื่อการท่องเที่ยว (VISA FREE) ให้แก่นักท่องเที่ยว ต่างชาติเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการเดินทางเข้าใน ประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
อีกทั้งยังเห็นชอบปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐฯ บรรจุใหม่ขึ้นปีละ 10% ภายใน 2 ปี, ป.ตรี เริ่มต้น 18,000 บาท, ปวช. เริ่มต้น 11,000 บาท
ประเด็นดังกล่าว คาดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2567 ทั้ง จากภาคการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยว ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะได้ ประโยชน์ คือ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม (AOT CENTEL ERWMINT AAV), กลุ่มค้าปลีก (CPAXT HMPRO COM7 CRC CPALL BJC CBG) และกลุ่มเช่าซื้อ (TIDLOR MTC SAWAD BAM) เป็นต้น
ขณะที่ประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจ คือ โครงการ E-REFUND และ DIGITAL WALLET ที่รอความคืบหน้าจากการประชุม ครม.ในครั้งถัดๆไป ซึ่งคาดจะเป็นตัวช่วย หนุนหลักให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตได้ 5% ดังที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้
สรุป ประชุม ครม. วานนี้มีมาตรการกระตุ้นออกมามากมาย หนุนให้เศรษฐกิจไทยโต ดีเป็นขั้นบันได ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม(AOT CENTEL ERW MINT AAV), กลุ่มค้าปลีก(CPAXT HMPRO COM7 CRC CPALL BJC CBG) และกลุ่มเช่าซื้อ(TIDLOR MTC SAWAD BAM) เป็นต้น ดังนั้นด้วย SENTIMENT เชิงบวกดังกล่าว คาดทำให้ SET INDEX วันนี้แกว่งตัว SIDEWAY UP โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวระดับ 1395 1410 จุด
หวัง FUND FLOW เข้าต่อ แนะเพิ่มหุ้น HIGH BETA ใส่พอร์ต
ฝ่ายวิจัยฯ เห็น MOMENTUM FUND FLOW ไหลเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยอยุ่ 3 ส่วน คือ
1. วานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดการเงินไทยทุกแห่ง โดยซื้อสุทธิตราสาร หนี้610 ล้านบาท,ซื้อหุ้นไทย 773 ล้านบาท และ TFEX อีก 20,094 สัญญา
2. ดัชนี MSCI THAILAND ETF เมื่อคืนปรับตัวขึ้นแรง 1.8% มาอยู่ที่ 63.36 จุด และเป็นการฟื้นกลับมาบริเวณดัชนีวันที่ 21 พ.ย. 66 เทียบเท่ากับ SET INDEX ได้ราว 1420 จุด สูงกว่า ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 1401 จุด
3. เริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติซื้อหุ้นไทยกลับผ่านโบรกเกอร์ที่มีสัดส่วนซื้อขายสูง อาทิ KKP ที่มีสัดส่วนมูลค่าซื้อขายอันดับ 1 ที่ 21.3% กลับมาซื้อสุทธิหุ้น ไทยหนักวันละ 1.5 พันล้านบาท ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิ สูงสุดเป็นอันดับ 6 และ 7 จาก 223 วันทำการในปีนี้ ตามมาด้วย JPM ที่มี สัดส่วนมูลค่าซื้อขายอันดับ 2 ที่ 7.1% กลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยวานนี้เช่นกัน 180 ล้านบาท
ทั้งหมดที่กล่าวมา แสดงเห็นถึงการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติทยอย ไหลกลับเข้ามาที่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แนะนำปรับพอร์ตลดหุ้น BETA ต่ำ สลับมา ลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่มี BETA สูงๆ (>1) หวังว่าจะมีการฟื้นกลับที่แรงกว่า SET INDEX อาทิ JAMRT,JMT, EA, GPSC, TIDLOR, MTC, SAWAD, STEC, PTTGC, CBG, IVL, SCGP, GULF, SIRI