KS Daily View 6.12.2023 >>> SET อาจได้แรงหนุนจากหุ้น ESG ที่อาจเป็นเป้าหมายกองทุน TESG เดือนนี้ PMI ภาคบริการของยุโรป สหรัฐดีขึ้น กรอบ SET วันนี้ คาดเคลื่อนไหว1,375-1,400 จุด หุ้นแนะนำ AOT, BCH

สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้

ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA -0.22%, S&P 500 -0.06%, NASDAQ +0.31%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+0.82%), Consumer Discretionary (+0.32%), Communication Services (+0.21%), ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-1.70%), Materials (-1.38%), Industrials (-0.86%) เป็นต้น

ในประเทศเมื่อวันจันทร์: SET Index +3.23 จุด หรือ +0.23% ปิดที่ 1,383.54 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ PSL (+10.53%), RCL (+9.09%), THG (+3.61%), AOT (+2.56%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ VGI (-4.46%), GLOBAL (-3.55%), HANA (-2.67%), DOHOME (-2.42%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,375 – 1,400 จุด มองเคลื่อนไหวออกด้านข้าง จากข้อมูล PMI ภาคบริการของยุโรปและสหรัฐออกมาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตำแหน่งงานเปิดรับน้อยลง รวมถึง Sentiment เชิงลบจากตลาดหุ้นจีนที่ปิดปรับตัวลดลง และ Moody’s ลดมุมมองความน่าเชื่อถือของจีนเป็นเชิงลบจากหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม SET Index อาจจะได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อหุ้น ESG ที่อาจจะเป็นเป้าหมายของกองทุน TESG เดือนนี้

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1) ฝ่ายบริหารของนาย โจ ไบเดน ได้ออกกฎที่รอคอยมานานซึ่งออกแบบมาเพื่อห้ามผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากการจัดหาอุปกรณ์แบตเตอรี่จากจีนและจากฝ่ายตรงข้ามจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ให้ความยืดหยุ่นแก่ผู้ผลิตรถยนต์ในการปฏิบัติตามข้อบังคับใหม่ แนวทางดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการขยายเครดิตภาษีมูลค่า 7,500 ดอลลาร์ผ่านกฎหมายสภาพภูมิอากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของไบเดน กำหนดเกณฑ์การเป็นเจ้าของ 25% สำหรับบริษัทหรือกลุ่มนิติบุคคลต่างประเทศที่กังวล รัฐบาลพูดถึงธุรกิจหรือกลุ่มที่เป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยฝ่ายตรงข้ามทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ข้อจำกัดดังกล่าวจะมีผลกับส่วนประกอบของแบตเตอรี่ในปีหน้า จากนั้นจะรวมถึงซัพพลายเออร์วัตถุดิบสำคัญของแบตเตอรี่ เช่น นิกเกิลและลิเธียม ในปี 2568

2) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมโดย HCOB เดือน พ.ย. อยู่ที่ 47.6 เทียบกับ 46.5 ในเดือน ต.ค. ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเพิ่มขึ้นที่ 48.7 จาก 47.8 ในเดือน ต.ค. แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ตามข้อมูลจาก S&P Global and Hamburg Commercial Bank.

3) สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นที่ 52.7 จาก 51.8 ในเดือน ต.ค.

4) จำนวนตำแหน่งงานว่างในสหรัฐฯ (JOTs) ปรับลดลงในเดือน ต.ค. ที่ 8.7 ล้านตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนที่ 9.35 ล้านตำแหน่ง เป็นภาพสะท้องถึงตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ตามรายงานข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน

5) Moody’s Investors Service ปรับลดมุมมองพันธบัตรรัฐบาลจีนเป็นลบ ตอกย้ำความกังวลทั่วโลกเกี่ยวกับระดับหนี้ในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก มูดี้ส์ลดแนวโน้มลงเป็นลบจากมีเสถียรภาพ ในขณะที่ยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวที่ A1 ในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศ ตามคำแถลง การใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลังของจีนเพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่น และการที่ทรัพย์สินตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว กำลังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศ

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,370-1,410จุด โดยภาพใหญ่ของตลาดจะยังคงถูกกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และจะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก มีโอกาสจะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจาก fund flow ของนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาสะสมหุ้นไทย ดังนั้น เราแนะนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นขนาดกลางที่มีปัจจัยเฉพาะตัว นำโดย BCH (ราคาพื้นฐาน 23.50 บาท) TIDLOR (ราคาพื้นฐาน 31.4 บาท) GPSC (ราคาพื้นฐาน 53.0 บาท)

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

AOT (ราคาพื้นฐาน 76.63 บาท) หุ้นใน SET50 ที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุนลดหย่อนภาษี TESG เดือนนี้ ซึ่งบริษัทได้รับ SET ESG Rating ปี 2566 ระดับ A คาดกำไร 1QFY24 จะยังคงแข็งแกร่งจาก High tourism season มีแผนปรับเพิ่ม PSC ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2024 ของ international และ domestic passengers จาก 700 และ 100 บาท เป็น 730 และ 130 บาทจะส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2567-68 เพิ่มขึ้น 2.5-4.5%

BCH (ราคาพื้นฐาน 23.50 บาท) หุ้นใน SET100 ที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุนลดหย่อนภาษี TESG เดือนนี้ ซึ่งบริษัทได้รับ SET ESG Rating ปี 2566 ระดับ AA ผู้ป่วยโควิด-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย. ข้อมูลการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 มีจำนวน 536 คนในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน พ.ย. ผู้ป่วยในสัปดาห์ที่ 2-4 เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 3 สัปดาห์ต่อสัปดาห์ติดต่อกัน ข้อมูลแสดงว่ามีโอกาสจะแพร่ระบาดวงกว้างในเดือน ธ.ค. 2566 – ม.ค. 2567 ซึ่งจะเป็นผลดีกับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธติดตามตัวเลขยอดค้าปลีก (Retail sales) ของยุโรปสำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดขยายหดตัวลง -2.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่หดตัว -2.9% YoY ต่อด้วยติดตามตัวเลขการจ้างงาน ADP ของสหรัฐฯสำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ 95,000 ตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 113,000 ตำแหน่ง
  • วันพฤหัสบดีติดตามตัวเลขการค้าของจีนสำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดยอดส่งออกหดตัว -5.1% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -6.4% YoY และยอดนำเข้าตลาดคาดขยายตัว +4.0% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว +3.0% YoY ต่อด้วยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline Consumer Price Index – headline CPI) ของไทยสำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ -0.5% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -0.3% YoY และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Consumer Price Index – core CPI) ของไทยสำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ +0.7% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +0.6% YoY
  • วันศุกร์ติดตามตัวเลข GDP สำหรับไตรมาส 3/2566 ซึ่งเป็นรอบทบทวนครั้งสุดท้าย ตลาดคาดลดลง -0.5% QoQ เทียบกับตัวเลขที่ประกาศรอบก่อนหน้าที่ -0.5% QoQ ต่อด้วยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (Non-farm payrolls) สำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ 175,000 ตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 150,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ 3.9% ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.9% และปิดท้ายด้วยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่น (University of Michigan) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 61.4 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 61.3
- Advertisement -