Daily Focus: Rebound // Selective Play

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ฟื้นตัวได้ค่อนข้างแข็งแกร่ง ปิดบวก 20.97 จุด ณ สิ้นวัน มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 4.1 หมื่นลบ. และกลับมายืนเหนือแนวรับหลัก 1,366-1,370 จุดได้อีกครั้ง ช่วยลบล้างภาพลบในวันก่อนหน้า ตลาดได้แรงหนุนจากผลการประชุม FED ที่เป็นบวก ดัชนีปรับตัวบวกได้ทุกกลุ่มยกเว้นบรรจุภัณฑ์ สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 109 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิหนาแน่น 3.5 พันลบ. (และพลิกมา Long Index Futures สูงถึง 4.1 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัวในแดนบวก Rebound ได้ต่อเนื่องในกรอบ 1,372-1,390 จุด โดยเม็ดเงินยังคงไหลเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง และออกจากการ ถือ Dollar สะท้อนผ่าน Dollar Index ที่ยังปรับลงแรงเป็นวันที่ 2 ขณะที่ Bond Yield 10 ปี สหรัฐฯ ขยับลงต่ำกว่า 4% ส่วนวานนี้ทั้ง ECB และ BoE คงอัตราดอกเบี้ยตามคาดที่ 4% และ 5.25% ตามลำดับ แม้จะยังไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนต่อการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2024 แต่ตลาดยังคงคาดหวังว่าธนาคารกลางหลักทั่วโลกจะมีดอกเบี้ยกลับทิศในปีหน้า ตามทิศทางเงินเฟ้อและเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่ตลาดยังให้น้ำหนักว่าจะไม่เกิด Hard Landing ด้านปัจจัยในประเทศโฟกัสหลักอยู่ที่การประกาศหุ้นเข้า-ออก SET50/100 ว่า DELTA จะหลุดจากการคำนวณหรือไม่ หากไม่หลุดจากการคำนวณเรามองว่ามีโอกาสที่จะเห็นการฟื้นตัวในครึ่งเดือนหลัง อย่างไรก็ตาม กรณีหลุดเราเชื่อว่าระยะสั้นอาจเห็นแรงกดดันต่อ SET Index ในภาพรวมแต่คาดเม็ดเงินจะถูก Switch เข้าหุ้นขนาดใหญ่อื่นทดแทน และเป็นบวกในระยะยาว เรายังมีมุมมองค่อนไปในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปีหน้าที่มีลุ้นกลับมา Outperform หุ้นโลกได้จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะทยอยเร่งตัวใน 4Q23 เป็นต้นไป ขณะที่ Valuation อยู่ในโซนไม่แพง ทั้งในแง่ PER ที่ 14.5 เท่าและ EY Gap ราว 4.1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // รอจังหวะสะสมเพิ่มจังหวะดัชนีปรับลงเข้าหาระดับ 1,350 จุดหรือต่ำกว่า

หุ้นเด่นเดือน ธ.ค.: CPN, GPSC, SJWD, TIDLOR, TU

หุ้นเด่นวันนี้ : SAFE

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท
  • แนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q23-2024 คาดแข็งแกร่ง จากความต้องการบริการมีบุตรในปีมังกรปีหน้าที่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูง คาดกำไรปี 2024 +32% y-y
  • ด้าน Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ราคาหุ้นเทรด PER เพียง 18 เท่า ต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง GFC ที่ 23 เท่า และต่ำกว่ากลุ่มการแพทย์ที่เทรดเฉลี่ยราว 25-30 เท่า
  • แนวรับ 16 บาท แนวต้าน 17.50 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาคหนาแน่นถึง US$1,863 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,044 ล้าน และ US$591 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้านำโดยอินโดนีเซีย US$150 ล้าน ตามด้วยไทย US$100 ล้าน ส่วนเวียดนามและฟิลิปปินส์ไหลออกบางๆ แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลเข้าจากความคาดหวังดอกเบี้ยกลับทิศในปีหน้า

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ECB และ BoE คงอัตราดอกเบี้ยตามคาด ด้าน ECB คงดอกเบี้ยที่ 4% ขณะที่ BoE คงดอกเบี้ยที่ 5.25% ด้านประมาณการเศรษฐกิจ ECB มีการปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ลงเล็กน้อยสำหรับปี 2023-24 ที่ +0.7% และ +1% เป็น +0.6% และ +0.8% ตามลำดับ และขยับคาดการณ์เงินเฟ้อลง โดยเงินเฟ้อพื้นฐาคาด +5%/+2.7%/+2.3%/+2.1% ในช่วงปี 2023-26 อย่างไรก็ตาม ECB กล่าวว่าการลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งแตกต่างจากการประชุม FED วันก่อนที่ออกมาในโทน Dovish มากกว่า โดยรวมเรามองเป็นบวกอ่อนๆและคาดยังเห็นแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นต่อเนื่อง

(+) PTTEP เผยแผนงบประมาณลงทุน 5 ปีข้างหน้า US$32.6 พันล้าน สูงกว่าเดิมเล็กน้อยแบ่งเป็น CAPEX US$20.8 พันล้าน และ OPEX US$11.8 พันล้าน คาดปริมาณการขายปิโตเลียมปี 2023-25 ที่ 463 KBOED 505 KBOED และ 523 KBOED ตามลำดับ โดยในปี 2024 ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปริมาณการผลิตจากแหล่งเอรวัณจะผลิตเต็มกำลังผลิตที่ 800 MMCFD ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปตามที่เราทำประมาณการไว้ ขณะที่สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 23-24อยู่ที่ US$83/บาร์เรล และ US$85/บาร์เรล ตามลำดับ ระะยะสั้นเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาส ฟื้นตัวหากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าหลังเฟดส่งสัญญญาณปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มในปีหน้า เราคงประมาณการและราคาเป้าหมาย 179 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) TISCO คาดกำไรสุทธิ 4Q23 ที่ 1.82 พันลบ. -3.1% q-q แต่ +0.7% y-y จาก NIM ที่แคบลง และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยค่อนข้างทรงตัว q-q ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลงบ้างแต่เป็นไปตาม guidance และเชื่อว่าธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ เราคาคกำไรปี 2024-25 เติบโต 5.6-5.8% y-y จาก loan outlook ยังดีต่อเนื่อง ทำให้ยังสามารถจ่ายเงินปันผลสูงถึง 8-9% คงราคาเป้าหมาย 107 บาท แนะนำ “ถือ”

(0) THG คาดโมเม้นต้มกำไร 4Q23 ยังคงแข็งแกร่งจากไข้หวัดที่ระบาดหนัก และ EBTDA margin แข็งแกร่งที่ 31% ใน 3Q23 จากโรงพยาบาลในต่างจังหวัด และคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2024 เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2023-24 ลง 10-19% จากการโอน Jin Wellbeing Country ที่ต่ำกว่าคาดและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิทั้งปี 2024 +26% y-y นอกจากนี้ THG มีแผน spin off ธุรกิจบริหารโรงพยาบาลที่ปัจจุบันบริหารโรงพยาบาลรัฐ 4 แห่ง เพื่อขยายธุรกิจ ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2024 ที่ 55 บาท และปรับคำแนะนำจาก “ขาย เป็น “ถือ”

(0) คาดการณ์หุ้นเข้า-ออก SET50 งวด 1H24 หุ้นออก DELTA INTUCH TLI หุ้นเข้า KCE ITC BCP ประกาศผลกลางเดือน ธ.ค.

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 158.11 จุด หรือ +0.43% ปิดที่ 37,248.35 จุด โดยดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากนักลงทุนยังคงขาน รับเฟด ที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก เนื่องจากนักลงทุนขานรับการที่เฟด ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า

(-) ตลาดหุ้นเอเชียปิดลบ ขณะที่เช้าวันนี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับความคาดหวังบนทิศทางของเฟด และตลาดหุ้นสหรัฐฯ

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -1.10%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2.11 ดอลลาร์ หรือ 3.04% ปิดที่ 71.58 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากการที่ IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกปีหน้า ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 71.68 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.14%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 47.60 ดอลลาร์ หรือ 2.38% ปิดที่ 2,044.90ดอลลาร์/ออนซ์ ขานรับผลการประชุมของเฟด ซึ่งส่งสัญญาณยุติวัฏจักรการปรับ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ในขณะที่เช้านี้บวกที่ระดับ 2047.5 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.13%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 877.67/ -0.03%

- Advertisement -