บล.บัวหลวง: 

Retail Finance – อัตราการซื้อคืนถึงจุดพีคจะกระตุ้นให้มีการปรับน้ำหนักการลงทุนกลุ่มฯ (NEUTRAL)

กลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเราคาดว่ากลุ่มฯจะปรับตัวโดดเด่นเมื่อ อัตราการซื้อคืนถึงจุดพีคแล้ว เราคาดกำไรสุทธิจะปรับตัวขึ้นเป็น 13% YoY ในปี 2567 หนุนจากอุปสงค์สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น

เราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มฯ ขึ้นเป็น “เท่ากับตลาด” โดยเราชอบ TIDLOR มากที่สุดในกลุ่ม

เราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มการเงินรายย่อยจากเดิม “น้อยกว่าตลาด” ขึ้นเป็น “เท่ากับตลาด” เนื่องจากเรามองว่าอัตราซื้อคืนหนึ่งวันของ BOT ถึงจุดพีคแล้ว เราคาดกำไรสุทธิกลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำจะปรับตัว ขึ้นเป็น 13% YoY ในปี 2567 (เราคาดการเติบโตของกำไรกลุ่มการเงินรายย่อยปี 2566 เพียง 3% YoY) เราซอบ TIDLOR มากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีที่สุดและมีอัตราการเติบโตของกำไรปี 2567 ที่เร็วที่สุดในกลุ่มการเงินรายย่อย นอกจากนี้เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ SAWAD เนื่องจาก มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับไม่แพง

กลุ่มการเงินรายย่อยจะได้รับประโยชน์จากอุปสงค์สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

กลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วยิ่งขึ้นในปี 2567 เราคาด GDP ปี 2567 อยู่ที่ 3.4% โดยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค (เช่น การคืนภาษี Easy E-Receipt) และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น (หนุนโดยการเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับหลายประเทศ) ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่ออุปสงค์สินเชื่อ

คุณภาพสินทรัพย์กลุ่มการเงินรายย่อยจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 หนุนจากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการคัดกรองการขอสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นโดยบริษัทให้สินเชื่อ (ตั้งแต่ปี 2566) นำโดย TIDLOR และ MTC ในทางตรงกัน ข้าม เราคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ SAWAD จะอ่อนแอลงในปี 2567เนื่องจากการออกสินเชื่อใหม่เชิงรุกในปี 2565-2666 สัดส่วนหนี้เสียต่อ สินเชื่อรวมของ SAWAD มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติที่ 3-4% ในปี 2567

กลุ่มการเงินรายย่อยจะปรับตัวโดดเด่น จากอัตราการซื้อคืนถึงจุดพีค

ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายซื้อคืน 1 วัน 25bps เป็น 2.5% เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุดในรอบเก้าปี เรามองว่าอัตราการซื้อคืนถึงจุดพีคแล้ว และคาดว่าจะคงอยู่ที่ระดับนี้ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2567 ดังนั้น การปรับตัวลดลงของ NIM จะผ่อนคลายลงในปี 2567-2568

เราเปรียบเทียบความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มการเงินกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยและอัตราผลตอบแทน พันธบัตร TH2Y ปี 2556-2566 ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าดัชนี SETFIN และอัตราการซื้อคืนพันธบัตรหนึ่งวันของ ธปท. มีความสัมพันธ์เชิงลบถึง 77% เมื่ออัตราการซื้อคืนทรงตัวหรือมีแนวโน้มขาลงโดยปกติ SETFIN จะปรับตัวโดดเด่นกว่าตลาด (เมื่ออัตราการซื้อคืนอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น SETFIN มักปรับตัวช้ากว่าดัชนีหลัก) เมื่อ ธปท. คงอัตราการซื้อหรือปรับลด เช่นเดียวกับปี 2556-61 และ 2562-65 SETFIN จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 19% ขณะที่ SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 1% เท่านั้น เราคาดว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มการเงินรายย่อยจะปรับตัวโดดเด่น เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ SUn. ในปัจจุบันมีแนวโน้มจะสิ้นสุดลงแล้ว

- Advertisement -