Daily Focus: Sideways Up // Selective Play

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways to Sideways Up ปิดบวกเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันอีก 4.47 จุด แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปิดค่อนไปในแดนลบ มูลค่าการซื้อขายชะลอลงเล็กน้อยเหลือ 3.9 หมื่นลบ. หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นได้แข็งแรง โดยเฉพาะ โรงไฟฟ้า สื่อสาร ค้าปลีก อาหาร ธนาคาร เป็นต้น ขณะที่กลุ่มที่ถ่วง ได้แก่ น้ำมันและปิโตรเคมี สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 118 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเร่งขึ้นเป็น 479ลบ. (แต่พลิกมา Short Index Futures 7.7 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways Up ได้ต่อเนื่องในกรอบ 1,400-1,415 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นบวก ตลาดยังคงให้น้ำหนักบวกต่อการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ในปีหน้า 6 ครั้ง โดยตัวเลข GDP 3Q23 Final ของสหรัฐฯออกมา 4.9% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 5.2% ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์แม้จะออกมาต่ำกว่าคาดที่ 2.05 แสนตำแหน่ง แต่สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามคืนนี้คือเงินเฟ้อ PCE เดือน พ.ย. ตลาดคาด Core PCE +0.2% m-m, +3.3% y-y ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน หากออกมาตามคาดหรือต่ำกว่าคาดจะเป็นปัจจัยตอกย้ำมุมมองของตลาดมากขึ้น Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ ขยับลงเล็กน้อยเหลือ 3.88% ขณะที่ Dollar Index อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ค่าเงินบาทพลิกมาแข็งค่าได้ตามคาด และหนุนให้กระแสเงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มพลิกมาไหลเข้าชัดขึ้นบ้างในสัปดาห์ที่ผ่านมา  นอกจากนี้ความชัดเจนของประเด็นค่าไฟ ค่าแรง ที่ส่งแรงกดดันด้านต้นทุนน้อยกว่าคาด รวมถึงแรงหนุนจากกองทุน TESG และ SET50/100 Rebalance ที่หุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA และ INTUCH ไม่หลุดจากดัชนี ทำให้เรายังคงมองว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภาพระยะกลาง-ยาวเรายังมีมุมมองค่อนไปในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปีหน้าที่มีลุ้นกลับมา Outperform หุ้นโลกได้จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะทยอยเร่งตัวใน 4Q23 ต่อเนื่องปี 2024 ขณะที่ Valuation อยู่ในโซนไม่แพงทั้งในแง่ PER ที่ 14.7 เท่าและ EY Gap ราว 4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // รอจังหวะสะสมเพิ่มจังหวะดัชนีปรับลงเข้าหาระดับ 1,350 จุดหรือต่ำกว่า

หุ้นเด่นเดือน ธ.ค.: CPN, GPSC, SJWD, TIDLOR, TU

หุ้นเด่นวันนี้ : COM7

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท
  • คาดกำไร 4Q23 จะเร่งตัว q-q และลุ้นทรงหรือเติบโตได้เล็กน้อย y-y หนุนจากยอดขาย iPhone 15 เต็มไตรมาส หลังจากเริ่มขายในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
  • โมเมนตัม 1Q24 คาดยังแข็งแรงและได้แรงหนุนจาก E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่นบาท ซึ่งสินค้าในกลุ่มโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะเป็นเป้าหมายในการใช้จ่าย เราคาดกำไรปี 2023 +3% y-y และเร่งตัว +11% Y-y ในปี 2024 ราคาปัจจุบันเทรด 2024PER เพียง 15.9 เท่า
  • แนวรับ 21.70-21.40 บาท แนวต้าน 23.80-24//25 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนในภูมิภาคผสมผสาน สุทธิแล้วไหลออกบางๆ US$55 ล้าน เม็ดเงินไหลเข้าเกาหลีใต้ US$72 ล้าน แต่ไหลออกจากไต้หวัน US$111 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลเข้าอินโดนีเซียและไทยประเทศละ US$14-25 ล้าน แต่ไหลออกจากเวียดนามและ ฟิลิปปินส์ประเทศละ US$22-33 แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะพลิกมาไหลเข้าหลัง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯยังทำให้ตลาดคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ FED 6 ครั้งปีหน้า เริ่มต้นในการประชุมเดือน มี.ค.

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) กลุ่มธนาคาร รวมยอดสินเชื่อสุทธิ 7 ธนาคารใหญ่เดือน พ.ย. 2023 หดตัว 0.58% m-m, 0.43% y-y และ 0.75% YTD ต่ำกว่าที่เราคาดทั้งปี 2023 +4% y-y โดยการเติบโตของสินเชื่อธนาคารขนาดใหญ่ปรับลดลงจากทั้งสินเชื่อภาครัฐ (KTB) และ corporate loan (BBL, KTB, SCB) ส่วนสินเชื่อ SME ทรงตัว ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้มงวัดในการปล่อยสินเชื่อจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แนวโน้ม 4Q23 คาด PPOP น่าจะทรงตัว หรือเติบโตเล็กน้อย q-q จากผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ยังส่งผลให้ NIM ปรับขึ้นต่อ แต่บางส่วนจะถูกชดเชยจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วง 4Q ทุกปีที่จะสูงขึ้น และคาดกำไร 4Q23 BBL จะดีสุดจาก NIM ที่ปรับขึ้นสูง เรายังให้น้ำหนักกลุ่มธนาคารเพียง Neutral Top pick คือ KTB (ราคาเป้าหมาย 23.60 บาท) และ KBANK (ราคาเป้าหมาย 152 บาท)

(-) KTB สินเชื่อสุทธิเดือน พ.ย. 2023 -1.5% m-m, -0.6% y-y และ -1.3% YTD นำลงด้วยสินเชื่อในกลุ่มภาครัฐ เช่นเดียวกับสินเชื่อกลุ่ม Corporate หดตัวเช่นเดียวกัน รวมสินเชื่อสุทธิ 11M23 ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประมาณการสินเชื่อของเราที่คาดเติบโต 2% y-y อย่างไรก็ตามเราคาดกำไรสุทธิปี 2024-25 เติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นผลจากการขยายตัว ต่อเนื่องของ NIM จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่ผ่านมาไปต่อเนื่องในช่วง 1H24 ราคาเป้าหมายปี 2024 ใหม่ที่ 23.60 บาท (เดิม 24.80 บาท) และ div. yields เฉลี่ยราว 4% p.a. ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) EPG เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าปลายน้ำที่จะได้รับผลบวกจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ปรับลง โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ ที่จะปรับลง ตามราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับลงในปี 2024-25 โดยคาดธุรกิจ EPP จะมีรายได้และ gross margin ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการใช้แก้วน้ำดื่มที่สูงขึ้น ทำให้อัตราการใช้กำลังผลิตสูงขึ้นตาม ประกอบกับแนวโน้มส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย 7 บริษัทมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง หลังจบการแพร่ระบาดของโควิด เราคาดกำไรปกติปี FY24-FY26 +21%/+6%/+7% ตามลำดับ หลักๆ มาจาก EBITDA Margin และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกที่ปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ Aeroklas ในออสเตรเลียดีขึ้น และ ธุรกิจฉนวน Aeroflex ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง เราให้ราคาเป้าหมาย 11 บาท อิง FY25 EV/EBITDA 15 เท่า แนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 322.35 จุด หรือ +0.87% ปิดที่ 37,404.35 จุด ขานรับมุมมองบวกที่ว่าตัวเลข GDP ของสหรัฐที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2566 จะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร หลังจากตลาดบวกขึ้น 2 วันติดต่อกันจากความหวังที่ว่าธนาคารกลางรายใหญ่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า

(-) ตลาดหุ้นเอเชียปิดลบ นำโดยตลาดนิกเกอิ ซึ่งลดลงแรงหลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ระหว่างสัปดาห์ ขณะที่เช้าวันนี้ปิดบวกเล็กน้อย หลังประกาศตัวเลขเงินเฟ้อญี่ปุ่นในเดือน พ.ย. ที่เป็นไปตามตลาดคาด

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.73%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 33 เซนต์ หรือ 0.44% ปิดที่ 73.89 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่า แองโกลาจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกโอเปก ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับความพยายามของโอเปกในการพยุงราคาน้ำมันด้วยการปรับลดกำลังการผลิต ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 73.90ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.01%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 3.60 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 2,051.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และมุมมอง ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2566 จะทำให้เฟด ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นที่ระดับ 2060.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.44%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 878.25/ +0.07%

- Advertisement -