Daily Focus:Break 1,430 / / Selective Play
2024 SET Target: 1520
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นในวันทำการแรกของปี 2024 แข็งแกร่งกว่าที่คาด ปิดบวกถึง 17.53 จุด ณ สิ้นวัน และสามารถทะลุผ่านแนวต้าน 1,430 จุด หนุนจากแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ DELTA AOT และกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นต้น สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.4 พันลบ.และ 1.3 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Long Index Futures 7.4 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,425-1,440 จุด โดยระยะสั้นอาจมีจังหวะพักตัวหลังจากปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในเดือน ธ.ค.23 รวมถึง Sentiment ลบจากฝั่งสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามภาพระยะกลางดูเป็นบวกหลังสามารถทะลุผ่านแนวต้านหลักในโซน 1,425-1,430 จุดได้ ซึ่งหากพักตัวไม่หลุดกรอบดังกล่าวจะยังคงโมเมนตัมเชิงบวกได้ต่อเนื่อง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียที่พักตัวเช้านี้ หลักๆ ยังไม่มีปัจจัยกดดันใหม่ แต่คาดมาจากตลาดที่ปรับขึ้นและคาดหวังเชิงบวกต่อการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ในปีนี้ไปแล้วค่อนข้างมาก โดยมองปรับลดดอกเบี้ยถึง 6 ครั้ง สูงกว่า Dot Plot ล่าสุดที่ 3 ครั้ง ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯเริ่มดีดตัวขึ้นใกล้ระดับ 4% หลังจากช่วงก่อนหน้าแกว่งตัวบริเวณ 3.8-3.9% ปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ได้แก่ตัวเลข ISM Manufacturing PMI เดือน ธ.ค. ของสหรัฐฯ และโดยเฉพาะรายงานการประชุม FED ว่าจะช่วยทำให้ตลาดเชื่อมั่นต่อทิศทางดอกเบี้ยขาลงปีนี้ได้มากขึ้นหรือไม่ เรามองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมา Outperform หุ้นโลกได้ในปีนี้บนสมมติฐานเศรษฐกิจและกำไรบจ.ที่จะเร่งตัวขึ้นใน 4Q23-2024 สวนทางฝั่งต่างประเทศ โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกที่คาดเห็นทิศทางเศรษฐกิจชะลอและดอกเบี้ยปรับลง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเทียบกับอดีตทั้งในแง่ PER ที่ราว 15 เท่าและ EY Gap ที่ 3.9%
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่ง และ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนต่อเนื่องหลังทะลุแนวต้านหลัก 1,430 จุด
หุ้นเด่นเดือน ม.ค.: CHG, COM7, GFPT, SAWAD, SAPPE
หุ้นเด่นวันนี้ : KCG
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12 บาท
- เป็นผู้นำตลาดเนยและชีสและมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เราคาดกำไร 4Q23 ที่ 138 ลบ. +150% q-q, +21% y-y จากรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นตาม Festive Season และการขยายกำลังผลิตชีสแผ่น IWS จบปี 2023 คาดกำไรที่ 303 ลบ. +26% y-y
- การบริโภคเนยและชีสต่อคนในไทยยังต่ำ ตลาดเนยและชีสเติบโตต่อเนื่องปีละ 5-7% ทำให้ KCG กำลังเข้าสู่โหมดการเติบโตจากการขยายกำลังผลิตทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ เราคาดกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 349 ลบ. +16% y-y จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายกำลังผลิต IWS และเนยอีกเท่าตัว
- แนวรับ 9//8.80-8.75 บาท แนวต้าน 9.50-9.55 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$766 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$440 ล้านและ US$266 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลเข้านำโดยไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$30-37 ล้าน มีเพียงเวียดนามที่ไหลออก US$15 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะพลิกมาไหลออกระยะสั้นโดยเฉพาะไต้หวันและเกาหลีใต้ตามตลาดฯฝั่งสหรัฐฯ ที่พักตัวโดยเฉพาะแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังตอบรับปัจจัยบวกจากความคาดหวัง FED ลดดอกเบี้ยปีนี้ไปค่อนข้างมาก ทำให้ Bond Yield พลิกมาปรับขึ้นระยะสั้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) จับตารายงานประชุมเฟดคืนนี้ ขณะที่ดัชนี PMI จีนเดือน ธ.ค. ดีกว่าคาด จีนรายงานตัวเลข Caixin Manufacturing PMI วานนี้ที่ 50.8 ดีกว่าตลาดคาดอยู่ที่ 50.4 และเพิ่มขึ้นจาก 50.7 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกไทย ที่สำคัญนักลงทุนต้องจับตารายงานประชุมเฟดคืนนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบในเชิง Sentiment ต่อทิศทางตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง โดยตลาดยังคงคาดเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. 2024 และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 6 ครั้งในปี 2024
(+) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การทางพิเศษเดินหน้า 3 โครงการในปี 2024 คือ 1) ทางด่วนจตุโชติ-ลำลูกกา คาดขาย TOR ในเดือนม.ค. 2) ทางด่วน Double deck คาดว่าเดือนก.ย.ได้ข้อสรุป 3) ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง คาดประมูลใน 2H24 นอกจากนี้เราคาดว่าโครงการที่มีโอกาสประมูลในปีนี้ อาทิ รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย รวมถึงต้องติดตามความคืบหน้าของการเซ็นสัญญารถไฟฟ้าสายสีส้ม เรามองบวกมากขึ้นต่อกลุ่มรับเหมาฯในปี 2024 โดยให้น้ำหนักกับ 2H24 หลังพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 แล้วเสร็จ ขณะที่ด้านต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างเริ่มนิ่ง การ ขึ้นค่าแรงกระทบจำกัด และปัญหาขาดแคลนแรงงานคลี่คลายแล้ว เรายังเลือก Top Pick เป็น CK (ราคาเป้าหมาย 26 บาท) จากปริมาณงานในมือปัจจุบันที่สูงมาก บวกกับมีแต้มต่อในการประมูลโครงการ Double Deck และรถไฟฟ้าสายสีส้ม
(+) BEYOND คาด 4Q23 กลับมาเป็นกำไรปกติ 15 ลบ. จากรายได้ที่ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ตามอัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวันที่ปรับขึ้น และเราเชื่อว่าโมเมนตัมกำไรจะเติบโตดีต่อเนื่องไปถึง 1Q24 โดยคาดว่าอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นจาก 50% ใน 4Q23 เป็น 52-55% ใน 1Q24 และ 59% ในปี 2024 จะลูกค้าที่เป็นตลาดใหม่อย่างนักท่องเที่ยวอินเดีย ซึ่งจะทำให้ปี 2024 คาดพลิกมีกำไรปกติ 151 ลบ. จากที่คาดขาดทุนปกติ 149 ลบ. ในปี 2023 อย่างไรก็ตามเราปรับลดประมาณการกำไรปี 2023-25 ลง 17-27% เพื่อสะท้อนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดปรับลดราคาเป้าหมาย 22 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 25.50 จุด หรือ +0.07% ปิดที่ 37,715.04 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdag ต่างก็ปิดในแดนลบ จากการร่วงลงของหุ้นแอปเปิ้ล หลังจากนักวิเคราะห์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นแอปเปิ้ล
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดร่วงลง และตลาดถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซนที่ปรับตัวขึ้น
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ ตามดัชนี S&P500 และ Nasdaq ที่ปิดอยู่ในแดนลบ
(0) ค่าเงินบาท ทรงตัว อยู่ที่บริเวณ 34.26 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.09%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 70.38ดอลลาร์/บาร์เรล จากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ในทะเลแดง หลังจากสื่อรายงานว่าอิหร่านได้ส่งเรือรบอัลบอร์ซ (Alborz) เข้าสู่ทะเลแดง ซึ่งจะเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคในขณะที่เช้านี้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 70.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.03%
(-) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 1.60 ดอลลาร์ หรือ 0.08% ปิดที่ 2,073.40ดอลลาร์/ออนซ์ รับการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.ปีนี้ ในขณะที่เช้านี้ปรับตัวลงที่ระดับ 2,069.60ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.18%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 878.53/ -0.07%