บล.กรุงศรีฯ:
KRUNGTHAI CARD (KTC TB/ KTC.BK)
KTC – พื้นฐานแข็งแรงแต่ valuations ตึงไป (UNRATED)
กลุ่มอุตสาหกรรม | ธุรกิจการเงิน |
หุ้น | KTC |
มูลค่าพื้นฐาน | 0.00 |
คำแนะนำ |
- What’s new
คาดว่ากำไรใน 4Q23F จะเพิ่มขึ้น yoy แต่ลดลง qoq
จากข้อมูลล่าสุดที่เราได้ทราบจากผู้บริหาร KTC ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตใน 4Q23 โตต่ำกว่าที่คาด (+12% yoy จากเป้า +20% yoy) แม้จะเป็นช่วงฤดูจับจ่ายปลายปี นอกจากนี้ อีกสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะฐานที่สูงในปี 2022 อย่างไรก็ตาม ยอดตัวเงินในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตน่าจะยังเพิ่มขึ้น yoy โดยคาดว่าสินเชื่อ P-Loan (KTC PROUD คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้รวม) จะเพิ่มขึ้น 5% yoy ในขณะที่สินเชื่อจำนำทะเบียน (พี่เบิ้ม คิดเป็นประมาณ 2% ของรายได้รวม) น่าจะอยู่ที่ ประมาณ 2.7 พันล้านบาท (+2,5x yoy) ในปี 2023F แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยอดสินเชื่อของ KTB Leasing น่าจะอยู่ที่ 1.5-2 พันล้านบาท (-20-40% yoy) ในปี 2023F เนื่องจากบริษัทหยุดปล่อยสินเชื่อใหม่มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023 (คิดเป็น 3% ของรายได้รวม) โดยสรุปแล้ว เราคาดว่ากำไรใน 4Q23F จะเพิ่มขึ้น yoy จากธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล (สองธุรกิจนี้คิดเป็น 95% ของรายได้รวม) แต่ลดลง qoq
- Analysis
คาดว่า NPL จะขยับเพิ่มขืนหลังสินสุดมาตรการสนับสนุนจากธปท.
เนื่องจาก 1) แนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มนำแนวปฏิบัติหลายข้อมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 ยกเว้นหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt หรือ PD) ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2024 2) มีการปรับเพิ่มยอดชำระหนี้บัตรเครดิตรายเดือนขั้นต่ำเป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 (จาก 5% ในปี 2023) และ 3) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลงเมื่อปลายปี 2023 เราจึงคาดว่าสัดส่วน NPL ใน 1H24F จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 2.3% เป็น 3.7-4% ในช่วงกลางปี แต่เนื่องจากมีการใช้กลยุทธ์เร่ง write-off หนี้เสีย เราจึงคาดว่าสัดส่วน NPL จะลดกลับลงมาอยู่ที่ระดับ 2-2.5% ภายในสิ้นปี 2024F
- Action/ Implication
ราคาเป้าหมายตาม Consensus อยู่ที่ 54 บาท โดยมี 6 รายแนะนำซื้อ, 2 ราย แนะนำถือ และ 2 รายแนะนำขาย
เรามอง Neutral กับ KTC เนื่องจาก 1) บริษัทใช้กลยุทธ์ทั้งแบบอนุรักษ์นิยมและเชิงรุก โดยมีสัดส่วน coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่ม (381.5% จากค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 190%) ซึ่งน่าจะมากพอที่จะรองรับกรณีที่คุณภาพสินทรัพย์เสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มนำแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมมาใช้ 2) NPL อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ที่ประมาณ 2-2.5% เพราะมีการ write-off หนี้เสียที่ค่อนข้างเร็ว 3) ต้นทุนการเงินอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับคู่แข่ง และ 4) ROE สูงที่สุดในกลุ่ม ทั้งนี้ KTC ได้ ESG Ratings จาก SET ที่ AAA ในปี 2023 แต่เนื่องจากรายได้ ส่วนที่ใหญ่ที่สุดมาจากสินเชื่อบัตรเครดิตซึ่งมี yield ต่ำกว่า ดังนั้น NIM ของ KTC จึงต่ำที่สุดใน peer ทั้งนี้ ถ้าหากคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมลงมากกว่าที่คาดไว้ credit cost อาจจะสูงกว่าที่คาดไว้ด้วย ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าแพง (P/BV ปี 2024F ที่ 2.8X สูงกว่าค่าเฉลี่ยนของกลุ่มที่ 1.7x) เราเชื่อว่าเมื่อ KTC คุมคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้ ในขณะที่ขยับไปเน้นสินเชื่อที่มี yield สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคุม ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้การเติบโตของกำไร และราคาหุ้นจะมีความน่าสนใจมากขึ้น