บล.ฟิลลิป:

ธนาคารไทยพาณิชย์ – SCB

การปรับโครงสร้างเริ่มเห็นผลมากขึ้นในปี 67

Key Point

ถึงแม้สินเชื่อเดือน พ.ย. จะหดตัว แต่การเติบโตของสินเชื่อยังโดดเด่นเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่, คาดกำไร 4Q66 อยู่ที่ 9.1 พันลบ. เพิ่มขึ้น 29.8% y-y จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลง 6.1% q-q จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี การปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้มีความคล่องตัว และคาดว่าการเติบโตจะเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นในปี 67 ยังคงราคาพื้นฐาน 114 บาท ส่วนต่างจากราคาหุ้นปัจจุบันอาจจะไม่มาก แต่ปันผลยังเด่น ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

เดือน พ.ย. สินเชื่อหดตัวแต่ยังโตสูงสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่

ในเดือน พ.ย. SCB มีสินเชื่อหดตัว 0.2% m-m ซึ่งเป็นการหดตัว 2 เดือนติดต่อกัน จากเดือนก่อนที่สินเชื่อหดตัว 1.1% m-m และทำให้สินเชื่อขยายตัวจากสิ้นปี 65 เหลือ 2.1% ytd อย่างไรก็ตาม SCB ยังคงเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่

คาดกำไร 4Q66 เติบโต y-y แต่ทรงตัว q-q

ถึงแม้ว่าสินเชื่อใน 4Q66 จะหดตัวลง แต่เมื่อเทียบกับ 4Q65 ยังเติบโต และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทำให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นมาก และคาดว่าจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 พันลบ. เพิ่มขึ้น 29.8% y-y ถึงแม้จะคาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย การตั้งสำรอง และค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับ 3Q66 คาดว่ากำไรจะลดลง 6.1% q-q เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่มักจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ถึงแม้จะคาดว่ารายได้ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็ตาม

การปรับโครงสร้างธุรกิจ ทำให้มีโอกาสเติบโต

การปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็น Holding company ทำให้ SCB มีความคล่องตัวในการทำธุรกิจ และมีโอกาสเติบโต ถึงแม้ว่าการเติบโตนั้นจะทำได้ช้ากว่าที่คาดหวังไว้ก่อนหน้า แต่คาดว่ารายได้จากธุรกิจนอกเหนือธุรกิจธนาคารจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนี้

คาดกำไรปี 66 เติบโต 10.8% y-y และโตต่อ 13.3% y-y ในปี 67 แนะนำ “ซื้อ”

ทางฝ่ายคาดว่าปี 66 SCB จะมีกำไร 42 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10.8% y-y จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และการตั้งสำรองรวมไปถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นมากก็ตาม และในปี 67 คาดว่าการตั้งสำรองจะลดระดับลง ทำให้คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นได้อีก 13.3% y-y เป็น 47 พันลบ. ยังคงราคาพื้นฐานไว้ที่ 114 บาท อาจจะเหลือส่วนต่างจากราคาหุ้นในปัจจุบันไม่มาก แต่ปันผลยังคงโดดเด่นเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ โดยปี 66 คาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 7.42 บาท/หุ้น คิเป็น Div. yield 7% และเพิ่มเป็น 8.31 บาท/หุ้นในปี 67 ซึ่งคิดเป็น Div. yield 7.8% ยังแนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง

  1. ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย
  2. ความเสี่ยงด้านเครดิต
  3. การเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน
- Advertisement -