KS Daily View 09.01.2024 >>> คาดกลุ่มอิเล็กฯ ฟื้นตามหุ้นเทคฯ โลก รอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,410-1,435 จุด หุ้นแนะนำ DELTA, TOA
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน
ต่างประเทศ:
ดัชนี DJIA +0.58%, S&P 500 +1.41%, NASDAQ +2.20%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+2.77%), Consumer Discretionary (+1.77%), Communication Services (+1.74%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-1.16%) เป็นต้น
ในประเทศ:
SET Index -9.51 จุด หรือ -0.67% ปิดที่ 1,418.45 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ BCP (+2.50%), RBF (+2.19%), VGI (+1.89%), MTC (+1.70%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ WHA (-3.69%), THG (-3.64%), TLI (-3.59%), KBANK (-2.94%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,410-1,435 จุด รอประเมินตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนวันพฤหัสฯนี้ มองแกว่งตัวในกรอบ และสลับตัวเล่น โดยคาดหุ้นกลุ่มอิเล็กฯจะฟื้นตัวตามหุ้นเทคฯ โลกบนมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI และ EV รวมถึงการจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2024 ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทจะหนุน GPM ของกลุ่ม โดยล่าสุดเงินบาทอ่อนค่า 2% จากต้นปีหลังนายกให้ความเห็นว่า ธปท. ควรลดดอกเบี้ยเพื่อหนุนเศรษฐกิจ และการปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดหนุนค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของตลาดอาจถูกฉุดโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบลดลง -3% DoD จากนักลงทุนกลับมากังวลอุปสงค์โลกชะลอหลังซาอุฯ ปรับลด crude premium US$2/bbl วานนี้
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นทางกฎหมายสนับสนุนทางการเงินจำนวน 5.0 แสนลบ. สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และคาดว่าจะดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนดภายในเดือนมี.ค. 2567 สำหรับการลงทะเบียน และเริ่มใช้เดือนพ.ค. 2567 อย่างไรก็ตามความท้าทายสำหรับโครงการยังคงมีอยู่ เนื่องจากต้องได้เสียงโหวตในรัฐสภาและการตัดสินจากศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ตลาดยังไม่ได้ priced in ประเด็นนี้ไปในราคาหุ้น ดังนี้หากโครงการดังกล่าวผ่านมองจะเป็น sentiment บวก เพราะจะช่วยกระตุ้น GDP และ market EPS (ขึ้นกับผลของ money multiplier) แต่ในด้านลบอาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นจากอุปทานพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นอีก 5.0 แสนลบ. (ขึ้นกับสภาพคล่องตลาดขณะที่ออก และการบริหารจัดการของสำนักบริหารหนี้สาธารณะ)
2.) Bloomberg รายงานว่าธนาคารกลางจีนอาจกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มโดยการลดอัตราเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ (RRR) จากก่อนหน้านี้ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านเงินกู้ระยะสั้น 1 ปีรวมถึงหน้าต่างสภาพคล่อง จำนวน 8 แสนล้านหยวน ซึ่งเทียบเท่าการลด RRR 50bps. คาดเป็น sentiment บวกต่อตลาดหุ้นจีนในวันนี้
3.) ราคาข้าวโพดตลาดล่วงหน้าปรับตัวลง -1.25% DoD เป็น 4.55 เหรียญต่อบุชเชล ต่ำสุดในรอบ 3 ปี และลดลงแล้ว -32% จากระดับต้นปี 2023 จากผลผลิตข้าวโพดของสหรัฐฯที่ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 15.234 พันล้านบุชเชล ส่วนราคาถั่วเหลืองล่วงหน้าปรับตัวลง -0.86D DoD เป็น 12.45 เหรียญต่อบุชเชล ต่ำสุดในรอบ 2 ปี และลดลงแล้ว -18.3% จากระดับต้นปี 2023 จากฝนที่ตกล่าสุดในบราซิลช่วยลดความกังวลต่อภัยแล้งที่จะกระทบผลผลิตซึ่งคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดในปี 2023-24 เรามองว่ากลุ่มปศุสัตว์ของไทย (BTG, GFPT, CPF, TFG) จะได้ผลบวกจากต้นทุนการเลี้ยงที่ลดลงหนุน GPM ฟื้นตัว
4.) ติดตาม ITD เตรียมประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 17 ม.ค. นี้ เลื่อนไถ่ถอนไปอีก 2 ปี เพิ่มอัตราดอกเบี้ย อีก 0.25-0.50% โดยปีนี้บริษัทมีหุ้นกู้ครบไถ่ถอน 5,670 ล้านบาท จากทั้งหมด 1.4 หมื่นล้าน ซึ่งอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ ITD อาจต้องการมีการตั้งสำรองเพิ่มใน 1Q24
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,414-1,444 จุด ในสัปดาห์นี้ โดยปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตามคือ การให้ความเห็นของกฤษฎีกาต่อ พรบ.กู้เงิน 5 แสนลบ. เพื่อทำดิจิตอลวอลเล็ต รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือนธันวาคม ซึ่งยังทรงตัวสูง โดยเฉพาะ Core CPI ที่คาดขยายตัว 0.3% MoM และ 4.0% YoY และตัวเลขตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย ตลาดปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2024 จากปัจจุบันที่ -150bps เป็น 4% +/- สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ เดือนธ.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวน และดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือน ธ.ค. ของจีน เป็นต้น
หุ้นแนะนำวันนี้
DELTA (ราคาพื้นฐาน 87 บาท) คาดกำไรปกติไตรมาส 4/66 จะอยู่ที่ 4.7 พันลบ. เพิ่มขึ้น 4.6% YoY แต่ลดลง 6.7% QoQ จากรายได้อาจชะลอตัวลง QoQ แต่ SG&A อาจเพิ่มขึ้น เราคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิอาจกลับมาเติบโตอีกครั้งในไตรมาส 1/2567 จากความต้องการส่วนประกอบ EV ที่เพิ่มขึ้น ส่วนยอดขาย data center จะเติบโต 10% ในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเซิร์ฟเวอร์และโครงการคลาวด์ของลูกค้าระดับไฮเปอร์สเกล โดยรวมแล้วเราคาดว่ากำไรปกติจะเติบโต 31% ในปี 2567
TOA (ราคาพื้นฐาน 40 บาท) เราคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2566 มีแนวโน้มเป็นบวกจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบลดลง โดย TOA จะซื้อหุ้นคืนจำนวน 3% ของทุนชำระแล้ว ด้วยงบ 1.5 พันลบ.
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันอังคาร ติดตาม ตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) ของยุโรปสำหรับเดือนพ.ย. ตลาดคาดที่ 6.5% ทรงตัวเมื่อเทียบจากเดือนก่อนหน้าที่ 6.5%
- วันพุธ ติดตาม ตัวเลขค่าจ้างแรงงาน (Average cash earnings) ของญี่ปุ่นสำหรับเดือนพ.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.5% YoY ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.5% YoY และต่อด้วยตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของจีนสำหรับเดือนธ.ค.ตลาดคาดขยายตัวที่ 10.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 10.0% YoY
- วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer price index) ของสหรัฐฯสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 3.0% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.1% YoY และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของสหรัฐฯสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 4.0% YoY ทรงตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.0% YoY
- วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer price index) ของจีนสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ -0.7% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -0.5% YoY ต่อด้วยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 61.0 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 60.9