บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Contractor Sector การลงทุนของภาครัฐรอบใหม่กำลังจะมา

Event

อัพเดตระบบขนส่งมวลชนและโครงการพื้นฐานต่าง ๆ ของประเทศไทย

Impact

การลงทุนระบบการขนส่งของภาครัฐน่าจะกับมาเติบโตได้นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

อ้างอิงจากประมาณการของ KResearch การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะทรงตัวอยู่ราว 1.60-1.65 แสนลบ.ต่อปีระหว่างปี 2563-2566 อย่างไรก็ตาม KResearch คาดเห็นการเติบโตขึ้นของงบในระดับเป็นเลขหลักเดียวปลาย ๆ หรือเลขสองหลักต้นๆ ต่อปีในอีก 4 ปีข้างหน้าเริ่มตั้งแต่ปี 2567 สำหรับปี 2566 การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ คาดอยู่ที่ 1.64 แสนลบ.หรือสูงกว่าปี 2565 เพียง 1.0%

Mega project หลายโครงการมูลค่ารวม 6.25 แสนล้านบาทรอการเริ่มดำเนินการ

งบลงทุนรวมของภาครัฐ ราว 3.32 แสนลบ. (มูลค่า 1.54 แสนลบ.เป็นการลงทุนระบบรถไฟใต้ดินในกรุงเทพมหานคร ระบบทางรถไฟ (railway)และรถไฟรางคู่ราว 9.6 หมื่นลบ. มอเตอร์เวย์มูลค่า 2.5 หมื่นลบ.และท่าอากาศยานสนามบินอีก 4.7 หมื่นลบ.) ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลชุดก่อนหน้าไปเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอความเห็นชอบจากรัฐบาลชุดใหม่นี้เพื่อเริ่มดำเนินการ นอกจากนั้นยังมีโครงการใหม่ๆ มูลค่ารวมอีกราว 2.93 แสนลบ.รอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอยู่ โดยที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วย โครงการมอเตอร์เวย์และทางด่วน (expressway) มูลค่ารวมอยู่ที่ 1.31 แสนลบ.และโครงการทางรถไฟ กับรถไฟรางคู่มูลค่ารวมที่ 1.00 แสนลบ. หากเป็นไปตามช่วงเวลาปกติ เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณ 12-18 เดือนเพื่อเริ่มดำเนินการโครงการต่าง ๆ กล่าวคือโครงการต่าง ๆ มูลค่า 3.32 แสนลบ.ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ น่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปีนี้หรือต้นปี 2568 ขณะที่ โครงการส่วนที่เหลือซึ่งตามกำหนดที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายในปีนี้ จะอาจเริ่มดำเนินการได้ในปลายปี 2568

ดัชนีหมวดบริการรับเหมาก่อสร้างและหุ้นหลักๆในกลุ่มตกต่ำต่อเนื่องมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ดัชนีหมวดบริการรับเหมาก่อสร้างลดลงมา 2 ปีในช่วงปี 2565-2566 โดยที่ดัชนีในปีที่แล้วตกต่ำลง 29% ตามความล่าช้าจากการลงทุนของภาครัฐช่วงปรับเปลี่ยนจากรัฐบาลชุดก่อนหน้ามาเป็นรัฐบาลในชุดปัจจุบัน ทั้งนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายามที่จะเร่งการลงทุนของภาครัฐ โดยทั้ง CH Karnchang (CK.BK/CK TB)* และ Sino-Thai Engineering (STEC.BK/STEC TB) ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มราคาหุ้นตกต่ำลงมากเมื่อปีที่แล้วราว 14% และ 38% ตามลำดับ น่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อ Italian-Thai Dev (ITD.BK/ITD TB) ซึ่งเป็นผู้นำตลาดด้านบริการรับเหมาก่อสร้าง ประสบปัญหาทางการเงินและวิกฤตสภาพคล่อง

Valuation & Action

ราคาหุ้น STEC ซึ่งเน้นบริการรับเหมาก่อสร้างเป็นหลักตกต่ำมากที่สุดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเทียบกับราคาหุ้น CK ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างและมีธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำจากโรงไฟฟ้า (power plant) ธุรกิจระบบขนส่งมวลชนด้วย โดยที่ทั้ง STEC และ CK ซื้อขายอยู่ที่ -1SD ของค่าเฉลี่ย PE ระยะยาว ขณะที่ STEC ยังซื้อขายบน PBV ที่ 0.7-0.8x อยู่บน -1S.D. จากค่าเฉลี่ยระยะยาว สวนทางกลับ CK ที่ซื้อขายบน PBV ที่ 1.4x มี premium จากค่าเฉลี่ยระยาว  เมื่ออิงตามประมาณการกำไรของ Bloomberg consensus กำไรปี 2566F ของ STEC น่าจะแย่ลง 32% ก่อนที่จะกลับมาเติบโตราว 19-20% ต่อปีในปี 2567F-2568F ส่วนแนวโน้มกำไรของ CK นั้นดูดีกว่า โดยมี 3-year CAGR อยู่ที่ 24-25% (ปี 2566F-2568F) (Figure 4-5) แต่อย่างไรก็ตาม STEC มีสถานะเงินสดในมือมั่นคงมาโดยตลอด ในขณะที่ CK มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (net gearing) อยู่ในระดับสูง โดยหุ้นกู้ของกลุ่มได้รับการจัดอันดับเครดิตฐานะการเงินและความน่าเชื่อถือที่ระดับ A จาก
การประเมินโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทริสเรทติ้ง (Tris Rating)

Risks

ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ ๆ การแก้ไขสัญญาต่าง ๆ การปรับเปลี่ยนฎระเบียบต่าง ๆ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงงาน

- Advertisement -