บล.ฟินันเซีย ไซรัส:
KRUNG THAI BANK (KTB TB)
คุณภาพสินทรัพย์ถดถอยล
- กำไรสุทธิ 4Q23 ต่ำกว่าที่เราคาดมาก ส่วนมากจากผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) และการจัดชั้นสินเชื่อ ITD ใหม่
- คุณภาพสินทรัพย์ส่งสัญญาณเสื่อมลง
- เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-25 และราคาเป้าหมายปี 2024 ของเรา ซึ่งทำให้เราปรับลดคำแนะนำเป็นถือ
ผลประกอบการ 4Q23 ออกมาน่าผิดหวัง
KTB รายงานกำไรสุทธิ 4Q23 อยู่ที่ 6.11 พันลบ. (-40.6%q-q, -24.6%y-y) ส่วนมากจาก ECL และต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit costs) ที่เพิ่มขึ้นเพื่อการบริหาร NPL เชิงรุก และการจัดชั้นหนี้ของลูกค้าบรรษัทขนาดใหญ่ 1 ราย กล่าวคือ ITD ใหม่เป็นหนี้ขั้นที่ 2 ซึ่งทำให้ธนาคารฯ ต้องจัดสรรสำรองพิเศษ เมื่อหักผลของสำรองพิเศษ กำไรก่อนหักสำรองใกล้เคียงกับที่คาดไว้โดยอยู่ที่ 21.8 พัน ลบ. (-1.4% q-q, +15.2% y-y) โดยได้ปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ใน 4Q23 สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost-to-income ratio) เพิ่มเป็น 44.8% จาก 43.0% ใน 3Q23 ในรอบปี 2023 Cost-to-income ratio ต่ำผิดปกติ โดยอยู่ที่ 41.6% (จาก 43.7% ในปี 2022) แต่สอดคล้องกับเป้าประมาณการของธนาคารฯ ที่ต่ำกว่าระดับ 40% กลาง การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและส่วนต่างดอกเบี้ยต่ำกว่าที่คาดเล็กน้อยจากต้นทุนในการระดมเงินฝาก (Cost of funds) ที่เร่งตัวขึ้นแม้ว่าผลตอบแทนสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น สินเชื่อยังหดตัวต่อเนื่องโดยลดลง 2.0% q-q และ 0.6% y-y ส่วนมากจากการจ่ายคืนสินเชื่อภาครัฐ (15% ของสินเชื่อรวม) เมื่อหักสินเชื่อภาครัฐ สินเชื่อโตเล็กน้อย (+0.9% q-q, +1.5% y-y) ส่วนมากจากสินเชื่อรายย่อย
คุณภาพสินเชื่อถดถอยแต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้
ใน 4Q23 สัดส่วน NPL (จากการคำนวนของ FSSIA) เพิ่มเป็น 3.86% จาก 3.74% ใน 3Q23 โดยธนาคารฯ ไม่ได้เปิดเผยประเภทและชั้นของ NPL แม้ว่า ECL จะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญสัดส่วน NPL ที่เพิ่มขึ้นใน 4Q23 สะท้อนการก่อตัวของ NPL ใหม่ที่สูงกว่าคาด Credit cost เพิ่มเป็น 201bp (จาก 125bp ใน 3Q23) ซึ่งทำให้ตัวเลขปี 2023 เพิ่มเป็น 143bp (จาก 93bp ในปี 2022) ในขณะที่ KTB รายงาน Coverage ratio อยู่ที่ 181% สูงกว่าเป้าประมาณการปี 2023 ของธนาคารฯ ที่ประมาณ 170%
ปรับประมาณการกำไรปี 2024-25 ส่วนมากเพื่อสะท้อนสมมติฐาน Crelt cost ที่สูงขึ้น
เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-25 ลง 5.8% และ 7.6% ตามลำดับเพื่อสะท้อน 1) สมมติฐาน Credit cost ที่สูงขึ้น จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอย; 2) การเติบโตของสินเชื่อที่ลดลง ส่วนมากจากสินเชื่อภาครัฐที่ผันผวน; และ 3) สมมติฐาน Cost-to-income ratio ที่สูงขึ้นจากระดับที่ต่ำผิดปกติในปี 2023 เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2024-25 จะโต 2-3% ต่อปีลดลงจากก่อนหน้าที่ 5-6% ต่อปี
ปรับลดคำแนะนำเป็นถือ
เราปรับลดคำแนะนำเป็นถือ (จากซื้อ) จากผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ประมาณ 4% ต่อปีราคาเป้าหมายปี 2024 ของเรา (GGM) ที่ 19.90 บาท (จาก 23.10 บาท) คิดเป็นค่า P/BV อยู่ที่ 0.65x (จาก 0.81x) ภายใต้สมุมติฐาน L-T ROE ที่ 8.0% (จาก 9.0%) และ COE ที่ 11.8% (จาก 10.9%) ปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายในระดับที่สมเหตุสมผล เนื่องจากกำลังเข้าใกล้ค่า P/BV เฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง (2018-23) ที่ 0.6x