บล.ฟินันเซีย ไซรัส: 

OSOTSPA (OSP TB)

ยังประคองตัว ด้วยการปรับภายใน

  • คาดกำไรสุทธิ 4Q23 แย่ลงเพราะค่าใช้จ่ายพิเศษ แต่กำไรปกติดูดี
  • คาดหวังส่วนแบ่งตลาดและรายได้ปี 2024 ฟื้นตัวช้า ๆ
  • ปรับลดเป้าลงเป็น 24.5 บาท จากการปรับลด PE สะท้อนการเติบโตในอัตราที่น้อยลง

ค่าใช้จ่ายพิเศษกดดันกำไรสุทธิ 4Q23

คาดกำไรสุทธิ 4Q23 อยู่ที่ 430 ลบ. (-33% q-q, +28% y-y) กำไรที่ลด q-q เกิดจากค่าใช้จ่ายพิเศษ 1) ค่าใช้จ่ายปิดโรงงานขวดแก้วที่สมุทรปราการราว 100-120 ลบ. บุ๊คอยู่ในต้นทุนและค่าใช้จ่ายบริหาร และ 2) FX loss ราว 100 ลบ. จากส่วนต่างของค่าเงินจ้าดระหว่าง Market rate และ CBM rate (ธนาคารกลางพม่า) ภายหลังรัฐบาลพม่ายกเลิกการกำหนดค่ากลางอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้บริษัทใช้หลัก Conservative เลือกใช้เรทที่ใกล้เคียง Market rate มากขึ้น แทนการใช้เรทของ BOT เท่านั้น หากไม่รวมรายการพิเศษ คาดมีกำไรปกติที่ 640 ลบ. (+14% q-q, +102% y-y) ถือว่าทำได้ดี

ส่วนแบ่งการตลาดยังลดลงต่อ แต่อัตรากำไรขั้นต้นแข็งแกร่ง

OSP ยังคงความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทย แต่มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงต่อเนื่อง โดย 4Q23 มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 46% ลัดจาก 46.5% ใน 3Q23 และต่ำกว่า 47.5% ใน 4Q22 เนื่องจากค่แข่งยังทำโปรโมชั่นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2023 แต่ด้วย Portfolio ที่หลากหลาย และสินค้าอื่นยังมีรายได้เติบโตได้ อาทิ Functional drink และ Personal care ขณะที่ C-vitt เริ่มทรงตัวถึงขยับขึ้น q-q และติดลบ y-y ในอัตราชะลอตัวว (ปีก่อนฐานสูงเพราะโควิด) ขาดรายได้รวม 4Q23 ยังเติบโตได้เล็กน้อย และด้วยผลของการเน้นเพิ่มอัตรากำไรทั้งการปรับขึ้นราคาในปีก่อน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตัดธุรกิจที่ไม่กำไรและใน 4Q23 ได้อานิสงส์จากต้นทุนก๊าซและค่าไฟปรับลง หักล้างต้นทุนน้ำตาลที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด คาดอัตรากำไรขั้นต้น (ไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษ) จะปรับขึ้นได้เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และลดลงในรอบ 10 ไตรมาส

การเติบโตของกำไรใน 2 ปีข้างหน้า จะโตช้าลง

เรายังมองบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง และน่าจะปรับขึ้นได้อีก 20bps ในปี 2024 หลังปิดโรงงานทีประสิทธิภาพต่ำในเดือน ธ.ค.23 และคาดหวังการฟื้นตัวของรายได้ C-vitt ในปี 2024 อีกครั้ง หลังปรับฐานแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม เราคงมุมมองระมัดระวังต่อกำลังซื้อในประเทศและการแข่งขันที่ยังสูง โดยตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของไทยปี 2024 จะยังโตในอัตราต่ำ 2-3% y-y และคาดส่วนแบ่งตลาดจะทำได้เพียงประคองตัวใกล้เคียงปี 2023 ขณะที่ต้องติดตามสถานการณ์ในพม่าต่อไป เพราะยังมีความเสี่ยงจากค่าเงินจ๊าดที่อ่อนค่า และความไม่แน่นอนทางการเมือง เราคาดกำไรปี 2024-25 จะเติบโตช้าลงอยู่ที่ 9.3% และ 6.2% ตามลำดับ

ปรับลงราคาเป้าหมาย ยังแนะนำ ซื้อ

เพื่อสะท้อนการเติบโตที่ช้าลง เราจึงปรับลด Target PE ลงเป็น 28 (-1.0 SD) จาก 35x (-0.5 SD) ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2024 ลดลงเป็น 24.5 บาท จาก 28.5 บาท ซึ่งยังมี Upside 15.6% และคาด Dividend yield ราว 3-4% ต่อปี จึงแนะนำซื้อลงทุน

Investment thesis

OSP ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 132 ปี เราประทับใจกับอัตราการเติบโตของบริษัทในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ผ่านการพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความก้าวหน้าทางการตลาดและสามารถกระจายสินค้าไปในหลากหลายช่องทางครอบคลุมทั้งประเทศไทย และ CLMV

นอกจากนี้เรายังมองว่าบริษัทมีหลักธรรมาภิบาลที่ดี มีความโปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย บริษัทยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนผ่านโปรแกรม Fast Forward 10x โดยตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ราว 5 พันลบ.ภายใน 5-7 ปี (2022-28)

Company profile

OSP ก่อตั้งขึ้นในปี 1891 ในฐานะบริษัทเภสัชกรรม และปัจจุบันได้พัฒนาบริษัทจนเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย และจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2018 โดยในปี 2022 บริษัทมีรายได้จากการขายเครื่องดื่มราว 81% ของรายได้รวม รองมาคือ Personal Care 9% และอื่น ๆ 10% ทั้งนี้รายได้หลักมาจากการขายในประเทศ 83% และที่เหลืออีก 17%มาจากตลาดต่างประเทศ อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา โดยรายได้ใน ต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากการขายเครื่องดื่ม

www.osotspa.com

Catalysts

ปัจจัยหนุนการเติบโตในปี 2024 คือ 1) การเติบโตของปริมาณขาย 2) การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ 3) ต้นทุนเชื้อเพลิงปรับลง 4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน และ 5) การประสบความสำเร็จในสินค้าใหม่

Risks to our call

ความเสี่ยง 1) กำลังซื้อฟื้นตัวช้ากว่าคาด 2) การแข่งขันรุนแรงกว่าคาด 3) ต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบผันผวนกว่าคาด 3) สินค้าใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ และ 4) การเปลี่ยนแปลงกฎหมายของไทยหรือพม่า ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิของบริษัท

- Advertisement -