KS Daily View 01.02.2024 >>> เฟดไม่รีบลดดอกเบี้ยใน มี.ค.นี้ แนะหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,370 จุด หุ้นแนะนำ WHA, AAV
สรุปภาวะตลาด
ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.82% S&P500 -1.61% NASDAQ -2.23%; Dollar index +0.10% เป็น103.529 และค่าเงินบาทปิดที่ 35.58; ราคาน้ำมันดิบ Brent Futures -1.4% เป็น 81.71/bbl; ราคาทองคำ +0.8% เป็น2067.4/ounce; US 10Y yield -13bps เป็น 3.929%
ในประเทศ: SET Index -8.620 จุด หรือ -0.63% ปิดที่ 1364.52 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ SISB (+2.72%), TRUE (+2.54%), PTTEP (+2.39%), MEGA (+1.18%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ CHG (-5.73%), VGI (-5.39%), JMT (-4.21%), TOA (-4.09%)เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
คาดดัชนีแกว่งตัวลงในกรอบ1,350-1,370 จุด คาดดัชนีเจอแรงขาย จาก Sentiment ลบตลาดสหรัฐปรับตัวลงยกแผงคืนก่อน หลังเฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ยมี.ค.นี้ (เราคาดลดดอกเบี้ยครั้งแรกพ.ค.นี้) ยังคงแนะนำนักลงทุนให้ใช้กลยุทธ์ Selective buy ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หรือกลุ่มที่มี Structural growth ในระยะยาว เช่นโรงพยาบาล, ท่องเที่ยว, นิคม, โรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาดแต่เฟดส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. (เราคาดลดดอกเบี้ยครั้งแรกเดือน พ.ค.) โดย FOMC มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันครั้งที่ 4 และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ดี เฟดส่งสัญญาณว่ายังไม่มีแผนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายโดยเฟดระบุในแถลงการณ์ว่า “คณะกรรมการ FOMC มองว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจนกว่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังปรับตัวสู่ระดับ2% อย่างยั่งยืน”
2.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพุธ (31 ม.ค.) หลังจากจีนเปิดเผยว่า ภาคการผลิตของจีนหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันในจีนนอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS)รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค.ของจีนอยู่ที่ระดับ 49.2 ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้นจากระดับ 49 ในเดือนธ.ค. 2566 แต่ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 นอกจากนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.2ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 217,000 บาร์เรล
3.) นายเผ่าภูมิ โรจนะสกุล เลขานุการ รมว.คลัง ในฐานะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท (ดิจิทัลวอลเล็ต) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า กำลังรอความคิดเห็นจากป.ป.ช.เพื่อรอข้อเสนอแนะอย่างเป็นทางการรวมทั้งต้องรอฟังความคิดเห็นจากผู้ตรวจการแผ่นดินที่เตรียมสรุปความคิดเห็นมายังรัฐบาล หากได้รับข้อเสนอทั้งหมดแล้ว จะมีการสังเคราะห์ข้อมูลข้อเสนอแนะ ก่อนที่จะมีการนัดประชุม คณะกรรมการนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่อีกครั้ง
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,340-1,390 จุด ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า sentiment หุ้นไทยยังคงถูกกดดันจากแรงขายต่างชาติบน 1.) แนวโน้มการเติบโตของ GDP และกำไรบจ. ในประเทศพัฒนาแล้วสูงกว่าไทยโดยเปรียบเทียบ 2.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อจากการส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อเนื่องของเฟดเพื่อกดให้เงินเฟ้อระยะยาวลงสู่เป้าหมายที่ 2% โดยที่เฟดยังคงมั่นใจกับทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ 3.) ตลาดหุ้นไทยยังไม่ถูกในเชิง PER เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคสำหรับปัจจัยสำคัญอื่นๆที่ต้องติดตามได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานและดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลข GDP 4Q23 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ม.ค. ของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษเดือน ม.ค.
หุ้นแนะนำวันนี้
WHA (ราคาพื้นฐาน 5.7 บาท) WHA เชื่อว่ากระแสการย้ายฐานการลงทุนมายังไทยและเวียดนามในปี 2567 จะยังคงแข็งแกร่งโดยได้รับแรงหนุนจากแรงกดดันด้านความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก โดยธุรกิจหลักทั้ง 4 กลุ่ม จะเติบโตต่อเนื่องจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปี 2567 ที่ 2,275 ไร่ มูลค่าการขายสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น 48% YoY เป็น 5.3 พันลบ. คงคำแนะนำ“ซื้อ” และ TP ปี 2567 ที่ 5.70 บาท ระดับกำไรไตรมาส4/66 ที่ดีและแนวโน้มยอดขายที่ดินที่แข็งแกร่งตั้งแต่ไตรมาส1/67 ซึ่งจะทำให้กำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2567 เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ
AAV (ราคาพื้นฐาน 2.74 บาท) เราคาดว่ากำไรของ AAV จะฟื้นตัวในปี 2567 ด้วยกำไรปกติที่ 1.5 พันลบ. จากประมาณการผลขาดทุนปกติปี 2566 ของเราที่ 246 ลบ. ตามการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าและค่าโดยสารเฉลี่ย เราคาดว่ารายได้ปี 2567-68 จะอยู่ที่4.7 หมื่นลบ. และ 5 หมื่นลบ.หรือเติบโต 16% และ 6% YoY ในช่วงเวลาดังกล่าว ปัจจัยหนุนจากการลดภาษีสรรพสามิต ผู้บริหารคาดว่าภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิงอากาศยานจะได้รับการพิจารณาใหม่ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของเที่ยวบินภายในประเทศ และอาจทำให้มี upside risk ต่อประมาณการกำไรของเรา เราคาดว่ากำไรปกติไตรมาส4/2566 จะอยู่ที่ 214 ลบ. เพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนปกติที่ 881 ลบ.ในไตรมาส 3/2566 และเพิ่มขึ้น 94% YoY จากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งทั้งจำนวนผู้โดยสารและค่าโดยสารเฉลี่ย
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตามดัชนีภาคการผลิตของยุโรปสำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ 46.6 ทรงตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 46.6 ต่อด้วยผลประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโบายไว้ที่ 5.25% ปิดท้ายช่วงข้ามคืนติดตามตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ (ISM manufacturing PMI) สำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ 47.4 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 47.6 และการประชุมของกลุ่ม OPEC+
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (Non-farm payrolls) สำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ 1.62 แสนตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.16 แสนตำแหน่ง ต่อด้วยอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ (Unemployment rate)สำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ 3.7% ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และติดตามตัวเลขค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยรายชั่วโมงของสหรัฐฯ (Average hourly earnings) สำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ +0.3% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +0.3% MoM