บล.ฟิลลิป:
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา – BAY
ตั้งเป้าเป็นผู้นำธนาคารที่ยั่งยืน และธนาคารระดับภูมิภาค
Key Point
เปิดแผนธุรกิจปี 67 – 69 ตั้งเป้าเป็นผู้นำธนาคารที่ยั่งยืน และธนาคารระดับภูมิภาค โดยยังมองหาช่องทางใหม่ ๆ ในการเพิ่มรายได้ ส่วนกิจการที่ซื้อมาในปี้ก่อนจะมีการรับรู้รายได้เต็มปี และน่าจะช่วยให้ผลตอบแทนสินเชื่อดีขึ้นได้ต่อ ถึงแม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มปรับลดลงก็ตาม อย่างไรก็ตามการเข้าซื้อกิจการทำให้ต้องตั้งสำรองสูงขึ้น ทางฝ่ายได้ปรับลดประมาณการกำไร รวมไปถึงราคาพื้นฐานลงเหลือ 29 บาท ยังคงมีส่วนต่างเหลืออยู่
BAY เปิดแผนธุรกิจระยะกลางตั้งเป้าเป็นผู้นำธนาคารที่ยั่งยืน และธนาคารระดับภูมิภาค
BAY ได้เปิดแผนธุรกิจระยะกลางที่จะใช้ในปี 67 – 69 ซึ่งเป็นแผนที่ 4 แล้ว โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำธนาคารที่ยั่งยืน และธนาคารระดับภูมิภาค โดยจะเน้นการเติบโตที่ยั่งยืน การเป็นผู้นำในธุรกิจหลัก การหาตลาด ความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการทำงาน และปรับโครงสร้างองค์กร โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลมาช่วย รวมไปถึงการไปถึง Net Zero ในปี 73
ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพิ่ม 3 – 5% โดยคาดว่าการเติบโตสูงจะมาจากต่างประเทศ
ปีนี้ BAY ตั้งเป้าที่จะปล่อยสินเชื่อเพิ่ม 3 – 5% และมองว่าสินเชื่อในต่างประเทศ ที่ทาง BAY เข้าซื้อกิจการมาจะเติบโตสูงกว่าในประเทศไทย อย่างไรก็ตามอาจจะมีส่วนช่วยในการเติบโตของสินเชื่อ และผลประกอบการไม่มาก เนื่องจากในขณะนี้สินเชื่อจากต่างประเทศคิดเป็นเพียง 5% ของสินเชื่อทั้งหมดเท่านั้น อย่างไรก็ตามสินเชื่อที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการเป็นสินเชื่อรายย่อยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า สินเชื่อที่ BAY มีอยู่น่าจะทำให้ผลตอบแทนสินเชื่อของ BAY เพิ่มขึ้นได้ต่อ ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไทยจะไม่ได้มีการปรับขึ้นแล้วก็ตาม
การตั้งสำรองยังสูงต่อในปี 67
จากการเข้าซื้อกิจการหลายกิจการในปี 66 และช่วงแรก BAY จะมีการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ของกิจการที่เข้าซื้อมา ซึ่งจะทำให้การตั้งสำรองในปี 67 ยังสูงต่อเนื่องไปอีก โดย BAY ตั้งเป้าจะตั้งสำรอง 180 – 200 bps ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่มีการตั้ง 175 bps และสูงกว่าที่ทางฝ่ายคาดไว้เดิมที่ 160 bps
ปรับลดประมาณการกำไร และราคาพื้นฐานลง
จากเป้าหมายการตั้งสำรองของ BAY ที่สูงกว่าที่ทางฝ่ายคาดไว้เดิม ทำให้ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการการตั้งสำรองในปี 67 ขึ้น และทำให้ประมาณการกำไรปรับลดลงเหลือ 34 พันลบ. จากเดิมคาดไว้ที่ 38 พันลบ. ยังเพิ่มชื้น 3.7% yy และคาดว่าปี 68 การตั้งสำรองจะปรับลดลงเหลือระดับปกติ และทำให้กำไรเติบโตสูง 17.9% y-y เป็น 40 พันลบ. ปรับลดราคาพื้นฐานลงมาเหลือ 29 บาท มีส่วนต่างลดลง ทำให้ทางฝ่ายปรับลดคำแนะนำลงมาเป็น “ทยอยซื้อ” จากเดิมที่แนะนำ “ซื้อ”
ความเสี่ยง
- ความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
- ความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม