กูรูหุ้นเชียร์ “ซื้อ” AMA อัพราคาเป้าหมาย 6.40 บ. คาดกำไรปี 66-67 โตแกร่ง อานิสงส์ราคาน้ำมันลด หนุนมาร์จิ้นธุรกิจเดินเรือพุ่ง
เซียนหุ้นจาก บล.เคจีไอ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น AMA พร้อมปรับราคาเป้าหมายเป็น 6.40 บาท จากเดิม 5.70 บาท คาดกำไรปี 66-67 โตแกร่ง รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง หนุนมาร์จิ้นธุรกิจขนส่งทางทะเลสูงขึ้น ฟากผู้บริหาร “พิศาล รัชกิจประการ” มั่นใจรายได้ปี 67 โต Double Digit หลังขยายกองเรือ-รถขนส่ง เพิ่ม
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์เผยแพร่แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) (AMA) โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายในปี 2567เป็น 6.40 บาทจากเดิมอยู่ที่ 5.70 บาท โดยเทียบจาก P/E ที่ 10 เท่า จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจเดินเรือที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์เรือมือสองลำใหม่ ชื่อญาณี ระวางบรรทุก 12,999 DWT การนำรถบรรทุกใหม่ 40 คัน ใช้ขนส่งในเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2566 และ High season ของการท่องเที่ยวไทย สนับสนุนผลประกอบการ
นอกจากนี้ ยังปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่ม 22% เป็น 307 ล้านบาท และในปี 2567 เพิ่ม 16% เป็น 330 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจขนส่งทางทะเลสูงขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบดูไบในเดือนธันวาคม 2566 ลดลง 8% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทำให้ต้นทุนน้ำมันของธุรกิจเดินเรือลดลง ส่งผลให้ปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจเดินเรือของ AMA ในปี 2566 จาก 17% เป็น 20 % และเป็น 22%ในปี 2567 และปรับเพิ่มรายได้ของทั้งธุรกิจขนส่งทางทะเลและบกในปี 2566 – 2567 เพิ่มขึ้น
นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) (AMA) กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2567 โต Double Digit โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจโลจิสติกส์ที่ฟื้นตัว และการขยายกองเรือ-รถโดยสารเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีรถบรรทุกขนส่งน้ำมันจำนวน 304 คัน หากรวมกับบริษัท ทีเอสเอสเคโลจิสติกส์จำกัด หรือ TSSK ที่บริษัทเพิ่งเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 76% มีรถบรรทุกอยู่ประมาณ 200 คัน ทำให้ AMA มีรถบรรทุกรวมกว่า 500 คัน ขณะที่มีเรือ จำนวน 9 ลำ น้ำหนักบรรทุกรวม 96,420 เดทเวทตัน
“แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังธุรกิจโลจิสติกส์ฟื้น ส่งผลดีกับธุรกิจขนส่งทางเรือ และขนส่งทางบก โดยในปีนี้เรามีแผนที่จะซื้อเรือเพิ่ม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ“นายพิศาลกล่าวในที่สุด