บล.พาย:

FINANCE: กำไรเติบโตสูงขึ้นในปี 2024 (NEUTRAL)

TOP PICK TIDLOR

คาดการณ์กำไรสุทธิรวมของกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง (MTC SAWD TIDLOR) ใน 4Q23 ที่ 3.5 พันล้านบาท (+10.7% YoY, -4.9% QoQ) โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ต้นทุนการเงินและสำรองหนี้ฯ ที่เพิ่มขึ้นยังกดดันการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน สำหรับในปี 2024 แม้จะยังเป็นปีที่ท้าทายด้านคุณภาพสินเชื่อ ต้นทุนการเงิน และความเข้มงวดของภาครัฐ แต่จุดเด่นของกลุ่มยังเป็นเรื่องการขยายสินเชื่อ เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมในปี 2024 จะเติบโต 17.2% YoY เร่งตัวขึ้นจากเติบโต 3.5%ในปี 2023 โดยทั้ง MTC SAWAD TIDLOR จะมีความสามรถการทำกำไรที่ดีขึ้นในปี 2024 แม้หนี้เสียยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในระดับชะลอตัวลง ด้านมุมมองการลงทุน เราคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เลือก TIDLOR เป็นหุ้นเด่น

คาดกำไรสุทธิรวมใน 4Q23 เติบโต 10.7% YoY แต่หดตัว 4.9% QoQ

  • เราคาดกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง (MTC, SAWAD, TIDLOR) จะมีกำไรสุทธิรวมที่ 3.5 พันล้านบาท (+10.7% YoY, -4.9% QoQ) ใน 4Q23 โดยการเติบโต YoY จากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) จากการขยายสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมจากค่าคอมมิชชั่นการเป็นนายหน้าขายประกัน แต่ปัจจัยกดดันให้กำไรสุทธิอ่อนตัวลง QoQ เป็นผลมาจากต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นกดดัน ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลง และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้นจากการขยายสาขา และการรับรู้ผลขาดทุนจากการขายรถยึด เราคาดว่าทั้ง 3 บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิเติบโต YoY ขณะเดียวกันเราคาดว่าทั้ง 3 บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิลดลง QoQ กดดันจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้น และการดำเนินงานสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ
  • ผลรวมของกำไรสุทธิปี 2023 เราคาดว่าจะเติบโต 3.5% YoY (2022: +2.9%) โดย SAWAD จะมีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น 12.9% YoY ผลบวกจากการขยายสินเชื่อจำนำทะเบียนและสินเชื่อรถมอเตอร์ไซด์ใหม่ผ่าน บมจ. ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP) และการรวมกิจการของ บริษัทเงินสดทันใจ หรือ Fast Money (FM) เข้ามาใน 2Q23

สินเชื่อรวมเติบโตต่อเนื่อง 4.6% QoQ ใน 4Q23 ทำให้สินเชื่อรวมในปี 2023 แข็งแกร่ง 31.2% YoY

  • แม้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า แต่ความต้องการสินเชื่อใน 4Q23 ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เราคาดว่าสินเชื่อของกลุ่มไมโครไฟแนนซ์จะขยายตัว 4.6% QoQ และทั้ง 3 บริษัทจะมีสินเชื่อขยายตัว ซึ่งผลักดันให้สินเชื่อในปี 2023 จะขยายตัวเฉลี่ย 31.2% YoY โดย SAWAD จะโดดเด่นกว่าคู่แข่งจากการเติบโตแบบ Organic growth และ Inorganic growth จากการรวมกิจการ FM เข้ามา
  • ความกังวลหลักของกลุ่มนี้เป็นเรื่องคุณภาพสินเชื่อที่อ่อนแอลง เพราะผลกระทบหลักจาก (1) เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า หรือการฟื้นตัว รูปแบบ K (K-Shaped recovery) และ (2) ราคารถมือสองปรับลดลงจากอุปสงค์การซื้อชะลอตัวเทียบกับอุปทานรถที่เพิ่มขึ้น
  • ด้วยความเข้มงวดในการจัดการคุณภาพสินเชื่อ แม้หนี้เสียใน 4Q23 ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ในระดับชะลอตัวลงหากเทียบกับในปี 2022-1H23 เราคาดว่าหนี้เสียรวมจะเพิ่มขึ้น 7% QoQ ใน 4Q23 (+44.8% YoY) ขณะที่ NPL ratio เฉลี่ยทรงตัวที่ 2.6%

กลับสู่ไหมดการเติบโตในปี 2024

  • แม้ยังคงมีแรงกดดันจากต้นทุนการเงินและสำรองหนี้ฯ สูงขึ้น เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมปี 2024 จะสามารถขยายตัว 17.2% YoY เทียบกับที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 3.5% ในปี 2023 เนื่องจากการขยายตัวแข็งแกร่งของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวจากธุรกิจนายหน้าประกัน โดยทั้ง 3 บริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโต โดยคาด MTC กำไรสุทธิจะขยายตัวโดดเด่น 20% YoY เทียบกับ 18% ของ TIDLOR และ 14% ของ SAWAD
  • การฟื้นตัวของผลกำไร ทำให้ ROE จะเพิ่มขึ้นในปี 2024 โดย SAWAD จะมี ROE เพิ่มขึ้นสูงกว่าคู่แข่งที่ 19.4%คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เลือก TIDLOR
  • เราคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ต่อกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ แม้ความสามารถการทำกำไรจะปรับตัวดีขึ้น แต่คุณภาพสินเชื่อ และความเข้มงวดของมาตรการภาครัฐยังคงกดดันการดำเนินธุรกิจในปี 2024
  • เราชอบ TIDLOR (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 28.00 บาท) เพราะงบดุลแข็งแกร่ง, กำไรสุทธิปี 2024 ขยายตัวสูง และ Valuation น่าสนใจขณะที่ SAWAD (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 54.00 บาท) จากความโดดเด่นของ ROE สูง, Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงิน ปันผลสูง ส่วน MTC (“ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 44.00 บาท) แม้กำไรฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 2024 แต่ Valuation สูงเทียบกับคู่แข่ง และผลตอบแทนเงินปันผลค่อนข้างต่ำ

ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิรวมในปี 2023-24 สะท้อนความกังวลต่อสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด

  • ในภาพรวม เราปรับคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2023-24 ของกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง (MTC SAWD TIDLOR) ลดลง 2.1%/4.1% เนื่องจากการปรับเพิ่มสมมติฐานสำรองหนี้ฯ สูงขึ้น สะท้อน (1) เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และยังไม่ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีฐานรายได้น้อย และ (2) ผลกระทบจากการขาดทุนรถยึดที่เป็นผลมาจากปัญหาอุปสงค์การซื้อรถชะลอตัว เทียบกับอุปทานรถที่สูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการปรับลดลงของราคารถที่ยึดมา โดยเฉพาะกับราคารถยนต์ส่วนบุคคลและรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์
  • เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ MTC ลดลง 2.1%/3.3% ในปี 2023-24 ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2023 จะลดลง 5.7% YoY (2022: +3%) ขณะที่เรายังคาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาเติบโต 20% YoY ในปี 2024 เนื่องจาก (1) การขยายตัวสินเชื่อต่อเนื่อง 16.9% YoY (2023: +20.3%) (2) Credit cost ลดลงที่ 360 bps ในปี 2024 (รวมผลขาดทุนจากรถยึด) เทียบกับราว 380 bps ในปี 2023 จากการควบคุมหนี้เสียได้ดีขึ้น และ (3) NIM จะปรับลดลงที่ 15.2% ในปี 2024 จาก 15.5% ในปี 2023 เพราะต้นทุนการเงินที่เร่งตัวขึ้น โดยเราคาดว่า ROE จะปรับสูงขึ้นเป็น 16.4% ในปี 2024 จาก 15.5% ในปี 2023
  • เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SAWAD ลดลง 2.5%/4.4% ในปี 2023-24 อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรสุทธิปี 2023 จะขยายตัว12.9% YoY (2022: -5.2%) มาจากการขยายตัวในธุรกิจจำนำทะเบียน และรถจักยานยนต์ผ่าน SCAP และการรวมกิจการของ Fast Money มาตั้งแต่ใน 2Q23 และคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตต่อเนื่อง 14% YoY ในปี 2024 จาก (1) การขยายตัวสินเชื่อต่อเนื่อง 14.8% YoY (2023: +69.6%) (2) Credit cost ทรงตัว YoY ที่ 200 bps ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่าที่ SAWAD เคยให้เป้าหมาย Credit cost ที่ 150 bps ในปี 2024 และ (3) NIM จะปรับลดลงที่ 15.3% ในปี 2024 จาก 16.6% ในปี 2023 เพราะต้นทุนการเงินที่เร่งตัวขึ้น โดยเราคาดว่า ROE จะปรับสูงขึ้นโดดเด่นที่ 19.4% ในปี 2024 จาก 18.7% ในปี 2023
  • เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ TIDLOR ลดลง 1.6%/4.8% ในปี 2023-24 ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2023 จะเติบโตชะลอตัวที่ 5% YoY (2022: +14.9%) ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตขึ้น 18% YoY ในปี 2024 จาก (1) การขยายตัวสินเชื่อต่อเนื่อง 16.2% YoY (2023: +19.5%) (2) Credit cost ลดลงที่ 280 bps ในปี 2024 เทียบกับราว 310 bps ในปี 2023 ผลจากควบคุมหนี้เสียได้ดีขึ้น และ (3) NIM จะปรับลดลงที่ 15.3% ในปี 2024 จาก 15.4% ในปี 2023 เพราะต้นทุนการเงินที่เร่งตัวขึ้น โดยเราคาดว่า ROE จะปรับสูงขึ้นเป็น 14.3% ในปี 2024 จาก 13.9% ในปี 2023

MTC (“ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 44.00 บาท)

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q23 อยู่ที่ 1.25 พันล้านบาท (+10.1% YoY, -3% QoQ) โดยกำไรสุทธิเติบโต YoY เนื่องจากรายได้ดอกเบีย สุทธิ (NII) ขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ แต่เพราะ MTC ยังมีภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นและการขาดทุนรถยึดเพิ่ม กอปรกับการขยายสาขาทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นกดดันให้กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย QoQ
  • แม้ NII จะเพิ่มขึ้นจากการขยายสินเชื่อ แต่เราคาดกำไรสุทธิปี 2023 ลดลง 5.7% YoY ที่ 4.8 พันล้านบาท เนื่องจาก (1) สำรองหนี้ฯและการขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้น (2) NIM ลดลงเหลือ 14% จากต้นทุนการเงินเร่งตัวขึ้น และ (3) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นทำให้ Cost to income ratio ปรับขึ้นเป็น 49.6%
  • MTC รัดกุมในการปล่อยสินเชื่อไร้หลักประกันและสินเชื่อเช่าซื้อรถจักยานยนต์เพื่อป้องกันหนี้เสียเพิ่มในกลุ่มสินเชื่อนี้ แต่เราคาด สินเชื่อใน 4Q23 ยังเติบโตต่อเนื่อง 4.6% QoQ หนุนจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ส่งผลให้สินเชื่อในปี 2023 ขยายตัวแข็งแกร่ง 20.3% YoY
  • NIM ยังคงปรับลดลงที่ 15.4% ใน 4Q23 ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงาน (CIR) เพิ่มขึ้น QoQ เป็น 45.8%โดยคาดว่าจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2023 เกินเป้าหมายทั้งปีที่ 7,200 สาขาไปแล้ว
  • NPL ratio ค่อนข้างทรงตัว QoQ ที่ 3.2% ใน 4Q23 ทำได้ตามเป้าหมายที่ไม่เกิน 3.5% สิ้นปี 2023 เพราะ MTC เน้นการบริหาร จัดการคุณภาพสินเชื่อมากกว่าการเร่งปล่อยสินเชื่อ และการตัดจำหน่ายหนี้สูญเพิ่มเติบ ทำให้ Coverage ratio ทรงตัว QoQ ที่ 111.3%

SAWAD (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 54.00 บาท)

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท (+8.9% YoY, -4.8% QoQ) โดยกำไรสุทธิเติบโต YoY เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ และการรวมรายได้ของ Fast Money (FM) เข้ามาตั้งแต่ใน 2023 อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากหนี้เสียที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้การตั้งสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นกดดันให้กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย QoQ
  • การเติบโตจากธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียน และสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ยังคงขยายตัว กอปรกับกับเติบโตแบบ Inorganic growth ผ่านการซื้อกิจการ FM คืนจากธนาคารออมสินเป็นผลให้คาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาขยายตัว 12.9% YoY ในปี 2023
  • SAWAD เข้มงวดมากขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์ด้วยการปรับลดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ลง เพื่อจำกัดผลขาดทุนการขายจักรยานยนต์ยึด เราคาดว่าสินเชื่อยังคงเติบโต แต่ในอัตราชะลอลงที่ 3.7% QoQ ใน 4Q23 ทั้งนี้ ผลบวกจากการรวมงบการเงินของ FM ทำให้สินเชื่อเติบโตก้าวกระโดด 69.9% YoY ในปี 2023
  • NIM ปรับลดลง QoQ ที่ 15.6% ใน 4Q23 จากการเร่งตัวขึ้นของต้นทุนการเงิน ขณะที่คาด CIR จะลดลง QoQ ที่ 51.5% เพราะการ รับรู้ผลขาดทุนจากรถจักรยานยนต์ยึดลดลง ทั้งนี้ การเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมทำให้คาดว่า สิ้นปี 2023 จำนวนสาขารวมจะมากกว่า 5,500 แห่ง สิ้นปี 2023
  • NPL ratio มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น QoQ ที่ 2.9% ใน 4Q23 และ Coverage ratio ลดลง QoQ ที่ 56.9%

TIDLOR (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 28.00 บาท)

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 933 ล้านบาท (+14.1% YoY, -7.4% QoQ) โดยกำไรสุทธิเติบโต YoY เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจประกัน อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากสำรองหนี้ฯเพิ่มขึ้นปรับสูงขึ้นล้อกับหนี้เสียและการตัดจำหน่ายหนี้สูญ รวมทั้งผลขาดทุนรถยึดกดดันให้กำไรสุทธิลดลง QoQ
  • เราคาดว่ากำไรสุทธิจะขยายตัวชะลอตัวลงที่ 5% YoY ในปี 2023 เนื่องจากผลบวกจากการขยายสินเชื่อถูกลดทอนด้วยค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้น และ NIM ที่ปรับลดลง
  • สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 5.7% QoQ ใน 4Q23 หนุนจากธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก ทำให้สินเชื่อในปี 2023 ยังขยายตัวแข็งแกร่ง 19.5% YoY
  • NIM ปรับลดลง QoQ ที่ 15.6% ใน 4Q23 จากการเร่งตัวขึ้นของต้นทุนการเงิน ขณะที่คาด CIR จะเพิ่ม QoQ ที่ 58.1% จากการขยายสาขา และการลงทุนเพิ่มเติบในระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิการให้บริการ ทั้งนี้ การเปิดสาขาใหม่เพิ่มทำให้คาดว่าสิ้นปี 2023จำนวนสาขารวมจะมากกว่า 1,700 แห่งสิ้นปี 2023 แม้จะมีจำนวนสาขารวมน้อยกว่าคู่แข่ง แต่การเปิดสาขาของ TIDLOR มีประสิทธิภาพดีกว่าคู่แข่ง โดยคาดว่าสินเชื่อต่อสาขาจะสูงที่ 56 ล้านบาท/สาขา
  • งบดุลบแข็งแกร่ง คาดว่า NPL ratio ทรงตัว QoQ ที่ 1.5% ใน 4Q23 และ Coverage ratio ยังคงสูงกว่าคู่แข่งมากที่ 268%
- Advertisement -