บล.คันทรี่ กรุ๊ป:
บันทึกงบ INTUCH ดว้ยวิธี Equity Method ตั้งแต่ 4Q21 เป็นต้นไป
GULF ตัดสินใจท่ีจะบันทึกงบของ INTUCH โดยใช้วิธีส่วนได้เสีย เราเห็นว่าการตัดสินใจมีความเหมาะสมเนื่องจากกำไรสุทธิของ GULF จะสูงขึ้น จากวิธีนี้เมื่อเทียบกับการรวมบัญชี
- โอกาสที่ช่วยประหยัดได้ 2.0 พันล้านบาทต่อปีหากใช้วิธิส่วนได้เสีย เนื่องจากไม่มีค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตนของ ADVANC
- บริษัทจะบันทึกรายได้เงินปันผลจาก INTUCH ใน 3Q21 และบันทึกกำไรตามวิธีส่วนได้เสียตั้งแต่ใน 4Q21 เป็นต้นไป
- คาดว่ากำไรสุทธิ 3Q21 จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากรายได้เงินปันผลราว 1.6 พันล้านบาท จาก INTUCH (สัดส่วนการถือหุ้น 42.25%)
เราปรับมูลค่าเหมาะสมขึ้น 7% เป็น 46.0 บาท โดยรวมส่วนแบ่งกำไร 3.0 บาทต่อหุ้น จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน INTUCH ในขณะเดียวกัน เราปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” เนื่องจาก Upside ท่ีจำกัดจากราคาหุ้นปัจจุบันโดยมาจากวิธี SOTP ที่ 61x PE’22E
บันทึกงบ INTUCH ด้วยวิธี Equity Method ตั้งแต่ 4Q21 เป็นต้นไป
INTUCH จะถูกบันทึกตามวิธีส่วนได้เสีย
- GULF แจ้งว่ารับรู้กำไรขาดทุนจาก INTUCH ตามวิธีส่วนได้เสีย (Equity method) นับตั้งแต่ 4Q21 เป็นต้นไปโดย GULF ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน INTUCH จาก 19% เป็น 42.25% ผ่านการทำคำเสนอซื้อโดยสมัครใจ (Tender offer) และขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
- เราเห็นว่าการตัดสินใจนี้มีความเหมาะสม เนื่องจากกำไรสุทธิของ GULF จะเพิ่มขึ้นจากวิธีนี้ เมื่อเทียบกับวิธีการรับรู้งบการเงินรวม (Consolidate) โดยเมื่อใช้วิธีแบบส่วนได้เสีย (Equity method) ADVANC จะไม่ถือเป็นบริษัทร่วมของ GULF ดังนั้นจึงไม่มีค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตนของ ADVANC (ประมาณ 2.0 พันล้านบาทต่อปี ท่ีจะต้องบันทึกลงในงบการเงินของ GULF)
D/E อยู่ที่ระดับ 2.0 เท่า
- ตามวิธีส่วนได้เสียอัตราส่วน D/E ของ GULF จะลดลงจากระดับปัจจุบันท่ี 2.5 เท่า เป็น 2.0 เท่าใน 4Q21 เนื่อจากกำไรจากราคาหุ้น INTUCH ท่ีสูงกว่าต้นทุนของ GULF
- โดยอัตราส่วน D/E จากวิธีส่วนได้เสียนั้นสูงกว่า D/E ของกรณีการรวมบัญชีท่ีประมาณการไว้ที่ 1.6 เท่า อย่างไรก็ตาม กำไรท่ีเพิ่มขึ้น 2.0 พันล้านบาทต่อปี ทำให้วิธีส่วนได้เสียนั้นดูน่าสนใจมากกว่าการรวมบัญชี
- เราคาดว่า D/E ที่ 2.0 เท่า เป็นระดับท่ีบริษัทสามารถจัดการได้ และหนี้ 1 แสนล้านบาท (เมื่อพิจารณาจากข้อตกลงท่ีไมเ่กิน 3.5 เท่า) จะช่วยให้ GULF ดำเนินการลงทุนต่อไปในอนาคต
แนวโน้มกำไร 3Q21 ที่เป็นบวก
- เราคาดว่ากำไรสุทธิ 3Q21 จะดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากรายได้เงินปันผลจาก INTUCH ประมาณ 1.6 พันล้านบาท (สัดส่วนการถือหุ้น 42.25%)
Update Scorecard
Result Summary
- GULF รายงานกำไรสุทธิ 2Q21 ที่ 1.4 พันล้านบาท (-25%YoY, -14%QoQ) หากไม่รวม FX และรายการพิเศษอื่นๆ กำไรปกติของบริษัทจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 42%YoY และลดลง 41%QoQ
- กำไรปกติที่ลดลง QoQ เนื่องจาก 1) ไม่มีเงินปันผลจาก INTUCH (บันทึก 683 ล้านบาทใน 1Q21) และ 2) ส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลงจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง BKR2 (465MW, สัดส่วนการถือหุ้น 50%) ซึ่งเกิดจากปัจจัยตามฤดกูาล
- การรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการ GSRC ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ 1Q21 และยอดขายไฟฟ้าแก่ลูกค้า IU ที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP ของ GMP ส่งผลให้มีการเติบโต YoY
- รายได้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท (+45%YoY, +24%QoQ) การเติบโต QoQ ด้วยแรงหนุนจากการ COD ของ GSRC และการรับรู้รายได้เต็มไตรมาส จากทั้ง GSRC และ BKR2 ทำให้การเติบโต YoY
- ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนโดยไม่ร่วม FX อยู่ที่ 733 ล้านบาท (+13%YoY, -1%QoQ) การเพิ่มขึ้น YoY เกิดจากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ของ GJP รวมถึงการรับรู้กำไรเต็มไตรมาสจาก PTT NGD
Revenue Breakdown
- รายได้หลักของบริษัทมาจากการขายไฟฟ้าโดยตรงผ่านบริษัทย่อย และกิจการร่วมค้าในประเทศไทยและ เวียดนาม โดยบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินงานอยู่ 6.4GWe (2.95GW) จากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ทั้งพลังงานความร้อนร่วม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล และพลังงานลม
- ในปี 2020 รายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คิดเป็นสัดส่วน 75% ของรายได้รวม ในขณะท่ียอดขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับกลุ่มลูกค้านิคมอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วน 23% และรายได้อื่นๆ และค่าธรรมเนียมการจัดการอีก 2%
- นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนท่ีเป็นโรงไฟฟ้าภายในประเทศด้วยจำนวน 1.7GWe (สัดส่วน 58% จากทั้งหมดท่ี 2.95GWe) โดยในปี 2020 รายได้จากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม และกิจการร่วมค้าท่ีมีอำนาจควบคุมคิดเป็น 57% ของกำไรรวม