บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Sino-Thai Engineering (STEC.BK/STEC TB)*

ยังต้องรอเวลา

Event

สรุปประเด็นสำคัญปี 2566 และแนวโน้มธุรกิจปี 2567

Impact

ผลการดำเนินงานย่ำแย่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

Sino-Thai Engineering (STEC.BK/STEC TB)* ได้รับผลลบจากปัจจัยต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี 2563 คือ i) ผลลบจากโรคระบาดโควิด-19 ii) การลงทุนสาธารณูปโภคด้านการขนส่งสาธารณะซบเซาช่วงปี 2563-66 และ iii) การเลื่อนโครงการภาครัฐใหม่ ๆ เนื่องจากการใช้เวลาในช่วงเปลี่ยนจากรัฐบาลชุดก่อนหน้ามาเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันนาน ขณะที่เรามองกำไร 4Q66F แย่ลงทั้ง YoY และและ QoQ อยู่ที่น้อยกว่า 100 ลบ. หรือบ่งชี้ว่ากำไรปี 2566F อาจต่ำกว่าตลาด (Bloomberg’s consensus) คาดราว 10% อยู่ที่ 592 ลบ. (-32% YoY) โดยที่ ผลการดำเนินงานปี 2566 ชะลอตัวจะเป็นเพราะ i) การรายได้ต่ำลง ii) อัตรากำไรสุทธิอ่อนแอหลังจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษเพื่อจัดการบริเวณพื้นที่ก่อสร้างให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในช่วงกลางปี 2566 และมีค่าความค่าเสียหายระหว่างการขุดอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน iii) รับรู้ส่วนขาดทุนจากบริษัทร่วมในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู และ iv) ต้นทุนทางการเงินเร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การปรับเปลี่ยนธุรกิจไปเป็น Holding company ภายในอีก 6 เดือนหน้า

STEC กำลังดำเนินการปรับเปลี่ยนบริษัทที่เน้นรับเหมาก่อสร้างเพียงอย่างเดียวไปเป็นบริษัท Holding company ที่มีบริษัทร่วมต่าง ๆ ได้แก่ i) ธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ii) ธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้า iii) ธุรกิจโครงการขนส่งมวลชนต่าง ๆ (รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู) และ iv) ธุรกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้ประจำ (Data Center)  เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น STEC อาจเผชิญกับผลขาดทุนหลายปีก่อนจึงจะถึงจุดคุ้มทุน แต่เมื่อมองไปในอนาคต เราเห็นว่า STEC จะเห็นดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้นเพราะต้องช่วยซัพพอร์ตบริษัทร่วมต่าง ๆที่ยังคงมีขาดทุนอยู่อีกนานพอสมควร

การลงทุนภาครัฐรอบใหม่น่าจะเห็นได้ในช่วงปลายปี 2567

พรบ.งบประมาณปี 2567 สุดท้ายน่าจะลงนามรับรองได้ในเดือนพฤษภาคม 2567 จากนั้นโครงการหลักใหม่ ๆ ของรัฐบาลจะทยอยเดินหน้าชี้ว่าการลงทุนภาครัฐรอบใหม่จะพุ่งขึ้งใน 3Q-4Q67 ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2567 รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่าโครงการราว 7 โครงการส่วนใหญ่เป็นรถไฟ (railway) และมอเตอร์เวย์มูลค่ารวมราว 1.10 แสนลบ.จะถูกผลักดันออกมาในปีนี้ ขณะที่ ก่อนหน้านี้ STEC คาดโครงการใหม่มูลค่ารวมราว 3.35 แสนลบ.จะได้รับการลงนามในปี 2567-68 แต่จนบัดนี้ เราคาดมีเพียง 60% ที่จะเดินหน้าต่อไปได้ โครงการใหญ่ 2 โครงการเช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลมูลค่า 4.17 หมื่นลบ.และรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 8.52 หมื่นลบ.น่าจะใช้เวลานานกว่าคาดในการได้รับความเห็นชอบ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลมีความจำเป็นต้องทำการศึกษามากขึ้นถึงความปลอดภัยสาธารณะส่วนสายสีส้มยังรอคำตัดสินสุดท้ายจากศาลปกครองสูงสุด (Supreme Administrative Court)

Valuation & action

STEC ตั้งเป้ารายได้การรับเหมาก่อสร้างที่ 2.8 หมื่นลบ. (-8% YoY) ปี 2566 และเติบโตเป็น 3.1 หมื่นลบ. (10% YoY) ปี 2567 ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มจากราว 4% ปี 2566 เป็น 5% ในปี 2567 เมื่ออิงตามประมาณการจาก Bloomberg คาด EPS ของ STEC เพิ่มขึ้น 15% YoY ปี 2567F และ20% ปี 2568F อย่างไรก็ตาม เรามองว่าอาจมีดาว์นไซต์ต่อประมาณการของตลาดเพราะความล่าช้าในการเริ่มเดินหน้าโครงการภาครัฐ คาดหมายผลขาดทุนอย่างมีนัยยะจากบริษัทร่วมต่าง ๆ และต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น โดยสรุป คำแนะนำตลาดรวม (Bloomberg ) ของหุ้น STEC คือ ซื้อ 10 ราย ถือ 5 ราย และไม่มีคำแนะนำให้ขาย และประเมินราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.44 บาท โดยล่าสุด STEC เทรดด้วยส่วนลดจาก ค่าเฉลี่ย P/E และ PBV ในระยะยาว -1 S.D. ซึ่งดูเหมือนสมเหตุสมผลบนความไม่แน่นอนของการฟื้นตัว และแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรภายหลังการแปรรูปธุรกิจ (transformation)

Risks

ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ ๆ การแก้ไขสัญญาต่าง ๆ การปรับเปลี่ยนฎระเบียบต่าง ๆ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงงาน

- Advertisement -