Daily Focus: Selective Play // Hold after Accumulated

SET Target : 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้แข็งแกร่ง ปิดบวก 14.26 จุด ที่ระดับ 1,386.42 จุด และกลับมายืนเหนือแนวต้าน 1,378-1,380 จุด ได้อีกครั้ง ทำให้โมเมนตัมเป็นบวกมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ DELTA และกลุ่มโรงไฟฟ้า สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.1 พันลบ.และ 1.6 พันลบ. ตามลำดับ (และพลิกมา Long Index Futures หนาแน่นถึงกว่า 3 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,380-1,390 จุด ชะลอความร้อนแรงระยะสั้นหลังจากรีบาวด์ได้ค่อนข้างดีในช่วง 3 วันก่อนหน้า ตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐฯเดือน ก.พ. ออกมาผสมผสานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 2.75 แสนตำแหน่ง แต่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดเป็น 3.9% สะท้อนแรงงานที่กลับสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าคาด +0.1% m-m, +4.3% y-y ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง นำโดย Nvidia ที่ปรับลง 5.55% และพักตัวลงหลังจากปรับขึ้นโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามตลาดยังคงคาดหวังว่า FED จะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มิ.ย. ด้วยความน่าจะเป็นราว 70% โดยปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯทั้ง CPI ในคืนวันอังคารและ PPI ในคืนวันพฤหัสฯ หากยังปรับตัวลงช้าหรือสูงกว่าคาดจะกดดันสินทรัพย์เสี่ยง แต่หากชะลอตัวลงเร็วกว่าคาดจะเป็นบวก สำหรับตลาดหุ้นไทยเราเชื่อว่าดัชนีมีโอกาสที่จะทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากทั้งเศรษฐกิจไทยและกำไรบจ.ที่จะเร่งตัวใน 2024 รวมถึงพัฒนาการเชิงบวกของงบประมาณประจำปี 2567 ที่คาดว่าจะผ่านสภาฯได้และประกาศใช้ต้นเดือน เม.ย. หนุนความเชื่อมั่นและทำให้ภาคการลงทุนเร่งตัวทำให้โมเมนตัมเศรษฐกิจไทยใน 2Q24 เป็นต้นไปดูสดใสมากขึ้น

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด

หุ้นเด่นเดือน มี.ค.: BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC

FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR

หุ้นเด่นวันนี้ : GFPT

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14.20 บาท
  • โมเมนตัมกำไร 1Q24 มีลุ้นทรงตัว q-q จากปริมาณไก่ส่งออกที่ยังปรับตัวขี้น ขณะที่ราคาไก่ในประเทศเริ่มฟื้นตัวโดยล่าสุดเดือน มี.ค. แตะ 41-42 บาท/กก. เพิ่มจาก 39-40 บาท/กก. ในเดือนม.ค.-ก.พ. ส่วน y-y คาดว่ายังโตแรงจากฐานที่ต่ำในปีก่อน
  • ภาพทั้งปี 2024 การเติบโตจะได้แรงหนุนจากการส่งออกที่ดีขึ้น ราคาไก่ที่ฟื้น และต้นทุนที่ทรงตัวต่ำบริษัทตั้งเป้ารายได้โต 3-5% และ GPM ทรงถึงปรับขึ้นเล็กน้อยในกรอบ 11.5-12.5% ซึ่งเรามองว่าค่อนข้าง Conservative เราคาดกำไรปี 2024 จะพลิกกลับมาเติบโต +7% y-y ที่ 1.5 พันลบ. ปัจจุบันเทรด PER ต่ำเพียง 10 เท่า
  • แนวรับ 11.40 บาท แนวต้าน 12//12.50 บาท

Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคหนาแน่นสุทธิ US$1,937 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$1,471 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$358 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าเกือบทุกประเทศ นำโดยอินโดนีเซียและไทย US$80 ล้านและ US$46 ล้าน ตามลำดับ มีเพียงเวียดนามที่ไหลออก แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลเข้าหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงจากตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานที่ออกมาผสมผสาน แต่ยังคงมีความคาดหวังต่อ FED ในการเริ่มลดดอกเบี้ยกลางปีนี้ ขณะที่ค่าเงินสกุลเอเชียยังแข็งค่าเทียบดอลลาร์

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) CHG โทนประชุมนักวิเคราะห์เป็นบวกเล็กน้อย ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2024 เติบโต 10-15% y-y หนุนจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่อย่างแม่สอดและ CHG Medical Center และรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติและผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มรายได้รวมเป็นบวกในช่วงเดือน ม.ต. – ก.พ. 2024 โดยรายได้จาก Organic มีแนวโน้มคลายกับช่วง 4Q23 ขณะที่รายได้จากโรงพยาบาลใหม่ควรจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 4Q23 อีกทั้งผู้บริหารยังคาดอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 14% ในปี 2024 เนื่องจาก Fix cost ส่วนใหญ่ถูกลงทุนในปี 2023 เรายังคงคาดกำไรปกติปี 2024 ที่ 1.3 พันลบ. โตก้าวกระโดด 24% y-y Valuation ถูก เทรด PE ปี 2024 เพียง 24 เท่า คงราคาเป้าหมาย 3.90 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) CHAYO แม้เทรนด์ของธุรกิจ AMC ค่อนข้างท้าทายในปีนี้ แต่เราเห็น CHAYO มี upside จากการนำบริษัทลูก CCAP (ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อ) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในช่วง 3Q24 คาดจะได้รับเงินจาก IPO ราว 400 ลบ. ส่วนใหญ่จะนำไปชำระคืนเงินกู้ของ CHAYO และบางส่วนจะปล่อยกู้เพิ่ม และผบห. ยังคาดว่าสินเชื่อจะโต 100% สูงกว่าที่เราคาด ดังนั้นเราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของ CCAP ในปี 2024-26 และยังส่งผลทำให้เราปรับเพิ่มประมาณกำไรสุทธิปี 2024-26 ของ CHAYO ขึ้น 5-7% เป็นกำไรเติบโตเฉลี่ย +12% ต่อปี จากเดิม +9% ต่อปี นอกจากนี้คาดจะมี upside จากการประมูลขาย NPA ในเดือนเม.ย. นี้ ซึ่งผบห.คาดมีกำไร 200 ลบ. และผู้ถือหุ้น CHAYO จะได้ Pre-emptive right ในการจองหุ้น IPO ด้วยเราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 6 บาท ราคาหุ้นมี upside ราว 14-15% เพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ”

(+) GABLE มีโอกาสสูงเข้าไปพัฒนาระบบให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ได้ license Virtual bank (VB) โดยเฉพาะด้าน infrastructure ที่ GABLE มีความชำนาญ นโยบายของ GABLE จะไม่เข้าร่วมขอ license VB กับค่ายใด แต่วางตัวเป็นผู้ support ด้าน infrastructure จุดแข็งของ GABLE นอกจากด้าน infrastructure แล้ว พอร์ตของบริษัทที่เป็นธนาคารและสถาบันการเงินใหญ่เป็นลำดับต้นๆของประเทศ โดยคิดเป็นประมาณ 40% กว่า (>2 พันลบ.) ของรายได้ เราคงราคาเป้าหมาย 6.80 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) IPO ใหม่ NEO เป็นผู้นำตลาดสินค้าอุปโภค เป็นเจ้าของแบรนด์ดัง Fineline, D-nee, BeNice เป็นต้น รายได้ส่วนใหญ่เป็นการขายในประเทศ 87% และที่เหลือส่งออกไปยัง CLMV เป็นหลัก แม้อุตสาหกรรมจะแข่งขันสูง แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในอันดับ 1 และ 2 หลายผลิตภัณฑ์ เราคาดกำไรปี 2024 จะเติบโต 10% เป็น 922 ลบ. จากการเติบโตในประเทศที่กลับสู่ระดับปกติหลังผ่านโควิดและการส่งออกเติบโตมากขึ้น ส่วน 3 ปีถัดไป (2025-27) คาด +8% CAGR ประเมินราคาเป้าหมายที่ 58 บาท อิง EPR 19 เท่า (Finansia อาจเป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 68.66 จุด หรือ -0.18% ปิดที่ 38,722.69 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดลดลงหลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างวัน โดยหุ้นกลุ่มชิปปรับตัวลงท่ามกลางแรงเทขายทำกำไร ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานบ่งชี้ว่าการจ้างงานใหม่ในสหรัฐเพิ่มขึ้นมากเกินคาด

(0) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดทรงตัว แต่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากตลาดหุ้นเยอรมนีและตลาดหุ้นฝรั่งเศสแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มนโยบายการเงินทั่วโลก

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ ตามการเคลื่อนไหวของตลาดสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากหุ้นในกลุ่ม AI ที่ปรับตัวลดลงแรง นำโดย Nvidia

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 35.41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.38%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 92 เซนต์ หรือ 1.17% ปิดที่ 78.01 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวลง 2.5% ในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากตลาดยังคงวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอของจีน แม้กลุ่มโอเปกพลัสตกลงขยายเวลาปรับลดการผลิต น้ำมันก็ตาม ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 77.39 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.79%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 20.30 ดอลลาร์ หรือ 0.94% ปิดที่ 2,185.50ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวขึ้น 4.52% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ หลังการเปิดเผยอัตราการว่างงานในสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนก.พ. ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นที่ระดับ 2,189.30ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.17%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 815.13/ -0.18%

- Advertisement -