Daily Focus: Selective Play // Hold after Accumulated
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ชะลอตัวลดความร้อนแรงหลังจากรีบาวด์ได้ดีพอสมควรในช่วง 3 วันก่อนหน้า โดยดัชนีปิดลบ 6.19 จุด ที่ระดับ 1,380.23 จุด ส่วนมูลค่าการซื้อขายบางลงเหลือ 3.3 หมื่นลบ. กลุ่มที่ถ่วงตลาด ได้แก่ น้ำมัน ธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ คือ บรรจุภัณฑ์ การแพทย์ โรงไฟฟ้า สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 149 ลบ. ส่วนนักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิหนาแน่น 2.3 พันลบ. (และ Short Index Futures เล็กน้อย 3.9 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบค่อนข้างแคบที่ 1,377-1,385 จุด โดยขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น ตลาดรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน ก.พ. คืนนี้ ตลาดคาด Headline +0.4% m-m, +3.1% y-Y ส่วน Core คาด +0.3% m-m, +3.7% y-y ด้านเงินเฟ้อคาดการณ์ 1 ปีข้างหน้าทรงตัวที่ 3% ส่วน 3 ปี และ 5 ปี ขยับขึ้นเป็น 2.7% และ 2.9% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนว่ายังต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควรก่อนที่เงินเฟ้อจะขยับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ของ FED ทำให้เรามองว่าการประชุม FED สัปดาห์หน้า สิ่งที่ต้องจับตาคือ Dot Plot ใหม่ว่าจะเห็นจำนวนการปรับลดดอกเบี้ยน้อยลงหรือไม่ จากล่าสุดที่มองปี 2024-2026 ปรับลง 3 ครั้ง / 4 ครั้ง / 3 ครั้ง ตามลำดับ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จำกัดหรือกดดันสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น สำหรับตลาดหุ้นไทยภาพรวมยังคงรอปัจจัยบวก โดยเฉพาะงบประมาณประจำปี 2567 ที่คาดว่าจะผ่านสภาฯได้และประกาศใช้ตันเดือน เม.ย. หนุนความเชื่อมั่นและทำให้ภาคการลงทุนเร่งตัว และทำให้โมเมนตัมเศรษฐกิจและกำไรบจ.จะทยอยเร่งตัวใน 2024 โดยเฉพาะตั้งแต่ 2Q24 เป็นต้นไป
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด
หุ้นเด่นเดือน มี.ค.: BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC
FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 77 บาท
- แนวโน้ม SSSG 1QTD ยังเป็นบวกแข็งแกร่ง Low-to-Mid Single Digit ทำให้เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 1024 จะยังแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายสาขา CVS จะเพิ่มอีก 700 สาขาในไทยและยังมีแผนขยายสาขากัมพูชาและลาวต่อเนื่อง
- ประมาณการกำไรปี 2024 ปัจจุบันของเราที่ 2 หมื่นลบ. +11% y-y อาจมี Upside อีกเล็กน้อย ด้าน Valuation ยังค่อนข้างถูก ปัจจุบันเทรด PER เพียง 25 เท่า ต่ำกว่าในอดีตที่ 30 เท่า
- แนวรับ 56.75//56 บาท แนวต้าน 58//59 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคสุทธิ US$328 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้และไต้หวันประเทศละ US$125-142 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินผสมผสาน ไหลออกจากไทยสูงสุด US$66 ล้าน แต่พลิกมาไหลเข้าเวียดนามเล็กน้อย US$10 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะยังเบาบางและค่อนไปในทิศทางไหลออกเล็กน้อย โดยโฟกัสอยู่ที่เงินเฟ้อ CPI เดือน ก.พ. สหรัฐฯคืนนี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) จับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเดือน ก.พ. คืนนี้ ตลาดคาดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือน ก.พ. 2024 ที่ +0.3%, +3.7% y-y เทียบกับ +0.4%, +3.7% y-y, ในเดือนก่อน หากออกมาตามคาดหรือไม่ต่ำกว่าคาดจะเป็น Sentiment บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงกระแสเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาค ปัจุบันตลาดคาดเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มิ.ย.2024 และจะปรับลดดอกเบี้ยจำนวน 4 ครั้ง ภายในปีนี้ ขณะที่เฟดคาดจะปรับลดประมาณ 3 ครั้งภายในปีนี้ โดยต้องติดตาม Dot Plot ในการประชุมสัปดาห์หน้า
(+) PJW โทนประชุมเป็นบวก บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2024 โต 5-10% เพราะปัญหา Red Sea เริ่มกระทบให้การเดินทางของวัตถุดิบยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตในปีนี้หลักๆจะมาจากธุรกิจใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูง คือธุรกิจ Master Laundry ที่คาดรายได้โตเกือบ 30% เพราะได้ลูกค้าใหม่ และธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ อุปกรณ์การแพทย์ตัวแรกจะเริ่มจำหน่ายใน 3024 คือ Oxygen humidifier เป็นสินค้าทดแทนการใช้ซ้ำและทดแทนการนำเข้า คาด Gross Margin 20%+ สูงกว่า Gross Margin ปี 2023 ที่ทำได้ 19.4% แนวโน้ม 1Q24 ยังดี แต่ 2Q24 แผ่วเพราะวันหยุดเยอะ เราอาจปรับประมาณการลงเล็กน้อยจากผลของ Red Sea แต่จากราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 10 เท่า จึงยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) SHR เราคาด Rev Par ของโรงแรมในไทยและ Maldives จะเติบโต 10-12% y-y ด้วย OCC rate 88% – 93% ในเดือน ม.ค – ก.พ 2024 ขณะที่บริษัทคาด RevPAR จะโต 20-25% ในปี 2024 จากโรงแรมในมัลดีฟท์ที่ฟื้นตัว หลังนักท่องเที่ยวจีนกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เรายังคงคาดกำไรปี 2024 จะก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 307 ลบ. จากปี 2023 มีกำไร 86 ลบ. ราคาหุ้นปัจจุบันยังถูก เทรด PBV เพียง 0.6 เท่า ถูกที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยว คงราคาเป้าหมาย 4 บาทแนะนำ “ซื้อ”
(0) EGCO โทนประชุมเป็นกลาง แม้ EGCO คาดปี 2024 จะกลับมาเป็นกำไร จากปี 2023 ขาดทุนสุทธิ 8.3 พันลบ. เพราะคาดไม่มีผลกระทบจากการปรับแผนการก่อสร้าง เงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Yunlin ไต้หวันและยังเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่านักลงทุนจะยังกังวลกับประเด็นความเสี่ยงที่อาจเกิด cost overrun อีก เพราะปัจจุบันโครงการนี้ยังเหลือต้องติดตั้งกังหันอีก 35 ต้น จากทั้งหมด 80 ต้น ซึ่งคิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 640MW อีกทั้งต้นทุนโครงการที่สูงขึ้นจากการใส่ลงทุนเพิ่ม อีกกว่า 1 หมื่นลบ.นั้นจะส่งผลให้ IRR ของโครงการนี้ปรับลดลงด้วย ส่วนโครงการอื่นที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้เต็ม ได้แก่ โรงไฟฟ้า RISEC และ Compass รวมถึงการทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ Yunlin ที่แล้วเสร็จบางส่วน ราคาเป้าเหมาะสม IAA Consensus อยู่ที่ 148 บาท
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 46.97 จุด หรือ +0.12% ปิดที่ 38,769.66 จุด ส่วน ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดลดลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี CPI และ PPI ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟด จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้หรือไม่
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนสหรัฐเปิดเผยรายงานเงินเฟ้อในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ นำโดยตลาดนิกเกอิ หลัง BoJ มีให้สัญญาณกลับทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายที่เร็วกว่าตลาดคาด
(0) ค่าเงินบาท ทรงตัว อยู่ที่บริเวณ 35.42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.03%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 77.93 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันในประเทศจีน ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 78.00 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.09%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์ หรือ 0.14% ปิดที่ 2,188.60ดอลลาร์/ออนซ์ โดยปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 8 ขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้ปรับลงเล็กน้อยที่ระดับ 2,186.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.09%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 815.13/ –
